วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เบื้องหลังแห่งกรรม
เบื้องหลังแห่งกรรม
วันหนึ่งข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากคุณณรงค์ ได้พูดมาจากธนาคารกรุงเทพฯ เล่าเรื่องของเด็กหญิงเพ็ญศรี อายุเพียง ๑๐ ขวบ ที่เที่ยวขายพวงมาลัยตามข้างถนน ตามสถานที่หย่อนใจตามหน้าบาร์ เพื่อหารายได้มาเลี้ยงแม่และน้องๆ อีก ๓ คน น้องคนเล็กยังอยู่ในอกแม่ น้องอีกสองคนก็ยังเล็กๆ แต่แล้วเด็กหญิงที่น่าสงสารก็ถูกรถยนต์เก๋งของนักท่องราตรีเที่ยวหาความสำราญทางสุรานารีชนเอา เห็นจะเป็นเพราะมึนเมา จึงขับรถชนเอาเด็กหญิงผู้น่าสมเพชล้มฟุบอาการสาหัส แล้วก็ถึงแก่ความตายขณะที่กำลังขายพวงมาลัยเพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัว รถเพชฌฆาตได้ทำลายชีวิตของเด็กหญิงผู้บริสุทธิ์ไม่รู้เดียงสา แล้วก็หลบหนีไป คุณณรงค์อยากจะชวนให้ข้าพเจ้าไปเห็นสภาพการเป็นอยู่ของครอบครัวนี้
เหตุเกิดขึ้นในปลายเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นเรื่องเศร้าเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายถูกรถยนต์ชนตาย เมื่อคุณณรงค์ได้ทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์รายวัน ลงข้อความน่าเศร้าใจนึกสงสาร ตามปกติคุณณรงค์เชื่อกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่วย่อมเกิดผลตามสนอง และสนใจหนังสือของข้าพเจ้าสละเงินช่วยพิมพ์เผยแพร่ตลอดมา เป็นผู้มีจิตใจเป็นกุศลมีมนุษย์ธรรมอยู่แล้วจึงเกิดความสังเวช สงสารอยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกอยู่ในความยากลำบาก
จึงจัดตั้งคนไปสืบดูความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ และคนไปดูเห็นสภาพกลับมาส่งข่าวที่ได้เห็นความทุกข์ยากลำบากมาให้คุณณรงค์ทราบ คุณณรงค์จึงได้จัดส่งเงินจำนวนหนึ่ง ไปมอบให้แก่แม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรี เพื่อบรรเทาความทุกข์ยาก
ต่อมาคุณณรงค์และพวกพนักงานในธนาคารกรุงเทพฯ ต่างก็พร้อมใจกันเสียสละเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงตั้งใจไว้ว่าจะให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มอบแก่แม่ของเด็ก พร้อมทั้งจะได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ ซึ่งเป็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ในมุมหนึ่งของชีวิต เพื่อจะนำมาตักเตือนผู้ที่ขับรถโดยประมาทเมื่อชนคนตายแล้วก็รีบหนี กำลังเป็นข่าวขึ้นในเมืองเรา กฎหมายเรายังไม่รัดกุม ไม่นึกถึงชีวิตเบื้องหลัง ญาติพี่น้องของผู้ตายต้องผจญต่อกรรมความยากแค้นแสนสาหัสเพียงไร
ข้าพเจ้าตอบตกลงและขอบคุณที่ได้ให้เกียรติข้าพเจ้าเป็นผู้มอบเงินให้แม่ของเด็ก ข้าพเจ้าจึงอยากพบอยากเห็นความทุกข์ยากลำบากในแง่หนึ่ง และข้าพเจ้าปลื้มปิติ ขออนุโมทนาในการสร้างกรรมดีในความเมตตากรุณาของคุณณรงค์และคุณนาย พร้อมทั้งพนักงานในธนาคารที่มีจิตเมตตาสงสารชีวิตซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ ได้ช่วยกันแผ่เมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูล ให้ได้รับความทุกข์ยากน้อยลง พอที่จะขยับขยายมีทุนทรัพย์จะทำมาหาเลี้ยงชีพต่อไป
วันนัดเป็นวันเสาร์ตอนบ่าย คุณณรงค์และคุณนายมารอข้าพเจ้าอยู่ที่บ้าน บังเอิญข้าพเจ้าติดธุระในตอนบ่ายวันนั้น จึงกลับบ้านล่าไป แล้วเราก็ได้เดินทางไปตามตำบลที่อยู่ของแม่ และน้องๆ ของเด็กหญิงเพ็ญศรีผู้ตาย เราต้องจอดรถไว้ที่ข้างถนนใหญ่ แล้วก็เดินเข้าตรอกแล้วก็เลี้ยวเข้าในซอยแคบๆ บางตอนเวลามีคนเดินสวนกัน เราก็ต้องเอี้ยวตัวหันหลังเกาะรั้วบ้าน พอจะหลีกกันได้โดยไม่สะดวกนัก
เราถามชาวบ้านแถบนั้นถึงบ้านที่พักของแม่เด็กหญิงเพ็ญศรี ก็มีคนชี้ให้ และมีเด็กๆ อาสาพาไปให้ถึงบ้าน ความเห็นอกเห็นใจย่อมจะเกิดแก่ผู้ยากจนด้วยกัน เมื่อไปถึงบ้านก็ปรากฏว่า แม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรีไม่ทราบว่าไปไหน
เราจึงได้สนทนากับชาวบ้านแถบนั้น และหญิงเจ้าบ้านผู้ให้ที่พักอาศัยโดยคิดค่าเช่าเพียงเล็กน้อย เราต้องนั่งสนทนาเพื่อรอพบแม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรี ชาวบ้านผู้หนึ่งกำลังรีดผ้าอยู่ข้างทางชี้ให้ดูเด็กสามคน เนื้อตัวมอมแมมอยู่เป็นกลุ่ม เด็กคนเล็กยังเพิ่งจะนั่งได้ แล้วบอกเราว่า นี่แหละลูกของเขาฝากไว้ แต่ตัวไม่รู้ไปไหน เรามองดูเด็กคนเล็กกำลังร้องไห้หาแม่ พี่สองคนก็ยังกำลังเล่นอะไรตามภาษาเด็กอยู่ข้างๆ แต่แม่ของเด็กไม่ทราบว่าไปไหน ซึ่งคุณณรงค์ก็ได้ส่งคนมาบอกล่วงหน้าว่า เราจะเดินทางมาหาและชาวบ้านก็ช่วยกันไปตามหา
เราได้ทราบจากชาวบ้านว่า พ่อของเด็กหญิงเพ็ญศรีนั้นมีคดีติดตัว คอยหลบหนีคดีอาญาข้อหาว่าเป็นผู้ทำลูกปืนลั่นถูกคนตายโดยประมาท แม้ชาวบ้านผู้หวังดีจะได้ช่วยแนะนำขอให้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ทางการ สารภาพผิด เมื่อได้รับโทษใช้กรรมตามที่ตนได้ก่อขึ้นก็คงได้รับโทษไม่หนักหนาอะไร จะได้มีเวลาพ้นโทษ แล้วก็จะได้เป็นอิสระในวันหนึ่งข้างหน้า ไม่ต้องคอยหลบหนีไม่มีวันสิ้นสุด ต้องทรมานทั้งร่างกายและจิตใจตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น ต้องสะดุ้งผวากลัวไม่มีขอบเขตตลอดวันเดือนปีที่จะพ้นความรู้สึกอันนี้ไปได้ แต่แกไม่ยอมเชื่อฟัง คอยแต่หลบหลีกการจับกุมอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ครอบครัวได้รับความยุ่งยากลำบาก ตลอดจนบุตรสาวต้องจบชีวิตลงกลางถนนอย่างน่าเวทนา เราได้ทราบข่าวนี้ด้วยความเศร้าใจ
เมื่อได้สนทนากับชาวบ้านพอสมควรแล้ว เราก็อยากดูที่พักของแม่เด็กหญิงเพ็ญศรี ชาวบ้านชี้ให้เราดู เมื่อเห็นสภาพที่อยู่แล้วก็สลดใจ ข้าพเจ้ากับคุณณรงค์ได้ปีนขึ้นไปดูห้องพักภายใน เหตุที่ต้องปีนเพราะไม่มีทางขึ้น เมื่อขึ้นไปยืนก็เห็นเป็นช่องทึบยาวๆ สองข้างเป็นฝาบ้านกว้างไม่เกิน ๒ เมตร ไม่มีช่องหน้าต่างพอที่แสงสว่างจะลอดเข้าไปในช่องนั้นได้ จึงมัวๆ หาอากาศผ่านยาก ภายในมีเสื่อเก่าๆ และมีผ้าห่มนอนขาดออกเป็นหลายชิ้น นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร เมื่อเรามองดูแล้วก็เศร้าทำให้จิตใจหดหู่ลง มองเห็นมนุษย์ ๕ ชีวิตมาสุมอยู่ในห้องแคบๆ ทึบๆ และอยู่ในซอยแคบๆ
บัดนี้ ชีวิตน้อยๆ ที่น่าสงสารชีวิตหนึ่งได้จากไปแล้วยังเหลืออีก ๔ ชีวิตที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป เมื่อเราตรวจดูสภาพที่พักอยู่ครู่หนึ่ง แม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรีก็กลับมา ข้าพเจ้าได้สอบถามความเป็นอยู่ของเด็กหญิงเพ็ญศรีเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ เราได้สนทนากันด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก็ได้ความว่าแม่ของเด็กเมื่อครั้งสาวๆ เคยเข้าประกวดได้เป็นรองนางงามเทพีมาก่อน
วันที่ลูกสาวถูกรถยนต์ชนตายก็ตรงกับวันเดือนครบรอบปีที่พ่อของเด็กหญิงทำปืนลั่นถูกเพื่อนตายด้วยความประมาท จะเป็นกรรมตามสนองหรือเป็นเหตุบังเอิญก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนอกจากนั้นก็ได้ทราบจากผู้เป็นแม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรี ว่า บางคืนก็มีผู้ซื้อพวงมาลัย และถามถึงชีวิตของเด็กหญิงที่ลำบากยากแค้น ต้องมาขายพวงมาลัยเวลาค่ำคืนเช่นนี้ เด็กหญิงก็เล่าถึงประวัติชีวิตจริงให้ฟัง ทำให้ผู้ทราบเรื่องแล้วก็เกิดสงสารหยิบธนบัตรใบแดงๆ มอบให้เพราะความเมตตาปรานี เด็กหญิงผู้น่าสมเพชก็ได้เก็บซ่อนธนบัตรไว้อย่างมิดชิดระมัดระวัง เมื่อกลับบ้านก็รีบนำมาให้แม่พร้อมด้วยแสดงความดีอกดีใจ บอกว่า
“แม่จ๋า วันนี้คนเขามาถามหนูว่า ทำไมมาขายพวงมาลัยอย่างนี้ หนูเล่าถึงความลำบากความจริงให้เขาฟัง เขาใจดี๊ดีให้เงินหนู ๑๐๐ บาท จะแม่”
เด็กหญิงผู้นี้นอกจากจะเป็นเด็กขยันหาเงินเลี้ยงแม่และน้อง ยังเป็นเด็กหญิงที่มีความกตัญญูที่น่าสรรเสริญ เมื่อได้เงินมาจากการขายพวงมาลัยเท่าใด ก็นำมาให้แม่ เมื่อต้องการสิ่งใดก็ขอแม่ นี่ก็เป็นเบื้องหลังของเด็กหญิงอายุเพียง ๑๐ ขวบ ต้องออกมาหารายได้ช่วยค่าครองชีพชีวิตจนต้องเสียชีวิตดับลงอย่างน่าอเนจอนาถ ดังข่าวที่แจ้งมานี้
เมื่อสนทนากันถึงเรื่องเศร้าในชีวิตจริงแล้ว และถามเหตุการณ์อื่นๆ พอสมควรแล้ว ก็มอบเงินจำนวนที่คุณณรงค์รวบรวมไว้ จำนวนพันกว่าให้แก่แม่ของเด็กหญิงเพ็ญศรีพร้อมกับบอกว่า
“เงินจำนวนนี้คุณณรงค์และคุณนาย พร้อมทั้งเพื่อนๆ ได้พร้อมใจกันเสียสละ รวบรวมนำมาเพื่อช่วยค่าครองชีพด้วยจิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมในความเมตตาสงสาร ขอให้นึกว่าตราบใดยังมีคนดีใจบุญ มีเมตตาจิตค้ำจุน เราก็อยู่ในโลกโดยไม่ว้าเหว่เพราะยังมีความเห็นอกเห็นใจ”แม่เด็กหญิงเพ็ญศรียกมือขึ้นไหว้แสดงความขอบคุณเราทุกคน และเราก็ทราบว่าก่อนหน้าก็ยังมีนักหนังสือพิมพ์ใจบุญช่วยกันรวบรวมเงินมามอบให้แม่ของเด็กจำนวนหนึ่ง และมีผู้ใจบุญทั้งหลายต่างก็ช่วยกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เมื่อเราเห็นควรแก่เวลาแล้วก็ลากลับ
เมื่อมานึกถึงชีวิตของมนุษย์เราทุกวันนี้แล้วก็เศร้าใจ อยากจะพูดถึงเรื่องรถยนต์ชนคนตายในท้องถนนมากมายไม่เว้น เป็นประจำด้วยความประมาทของคนขับ แม้แต่ประชาชนเดินข้ามตามทางม้าลาย ซึ่งทางการจัดให้ข้ามก็ยังไม่ปลอดภัย ไม่วายถูกรถยนต์ชนตายข่าวมาก จนหมดความสนใจเพราะรู้สึกเป็นข่าวธรรมดาประจำวัน ถ้าขับโดยไม่ประมาทมีความระมัดระวังไม่เร็วเกินไป เหตุการณ์ที่ร้ายแรงชนคนตายก็ไม่เกิดขึ้น
เวลานี้ภัยในท้องถนนหลวงในเมืองเราสูงกว่าประเทศอื่น เมื่อเกิดเหตุในท้องถนนต่อหน้าต่อตาเราก็เพียงดูด้วยความเศร้าสลดใจ แล้วความรู้สึกผ่านไป แต่ผู้ที่ถูกชนฟุบลงกลางถนนนั้น ย่อมมีเบื้องหลังของชีวิต ถ้าเราได้มีโอกาสติดตามเรื่องราวเบื้องหลังของเขาแล้ว จะรู้ได้ว่า ทุกๆ ชีวิตมีความสำคัญแก่ครอบครัวญาติพี่น้อง พ่อ แม่ ลูก หลาน สามี ภรรยา มากน้อยแต่ละครอบครัว เหมือนลูกโซ่ติดต่อกัน ถ้าขาดไปบ่วงหนึ่งในครอบครัวก็ปั่นป่วนทุกข์ยากเกิดขึ้น
ยิ่งเป็นบ้านพ่อบ้านแม่ก็ยิ่งสำคัญในชีวิตของครอบครัว แต่เมื่อมาจบชีวิตลงกลางถนนไม่ทันได้สั่งเสีย เพราะไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงตนเมื่อใด คนขับรถก็ได้สร้างกรรมที่บาปหนัก ที่ได้ทำลายอนาคตของบุตรหลานพ่อแม่พี่น้องลูกหลาน ชีวิตพลเมืองให้อับเฉาเหมือนต้นไม้ขาดรากแก้ว เพราะพ่อบ้านแม่บ้านผู้เป็นกำลังแรงหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวได้สูญสิ้นไปแล้ว การเงินก็ขาดการเล่าเรียนเพื่อความก้าวหน้าของเด็กๆ ความหวังในอนาคตก็หยุดชะงัก นี่เป็นเบื้องหลังชีวิตของผู้ตายด้วยความประมาทของบุคคลขับรถ มิได้ทำลายบุคคลในท้องถนนหลวงเท่านั้นยังทำลายอนาคตของพลเมืองของชาติ ที่เล่ามานี้เพียงแต่ให้เห็นเบื้องหลังชีวิตของผู้ตาย
ยังมีเรื่องน่าเศร้าสำหรับคนขับรถประมาท และคะนองเกิดขึ้นในท้องถนนหลวง แม้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่คิดว่าคงมีผู้จำเหตุการณ์ได้ ข้าพเจ้าได้เรื่องนี้จากทนายความผู้มีชื่อเสียง เล่าและถอดความรู้สึกจากจิตใจในชีวิตของลูกความ ซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาสูงและฐานะดีผู้หนึ่ง ที่ได้สารภาพถึงความรู้สึกที่ได้ประกอบกรรมทำผิดว่า
“เช้าวันนั้นผมได้ขับรถออกจากบ้านตามปกติ ผมก็เป็นคนที่อยู่ในจำพวกขับรถเร็วอยู่แล้ว เมื่อผมออกจากซอยมาสู่ถนนใหญ่ ก็มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งมาปาดหน้าแล้วก็เร่งความเร็วขับขึ้นหน้าไป แล้วก็หันหน้ามาคล้ายจะเย้ย ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ในความรู้สึกของผมเกิดไม่พอใจที่มีคนมาอวดดีคล้ายจะท้าทายมาแข่งลองดีกัน
ผมจึงเริ่มเหยียบคันน้ำมันให้รถพุ่งขึ้นหน้า เพื่อจะแย่งตำแหน่งความเร็วจากรถคันนั้นด้วยความโกรธ แต่รถคันนั้นไม่ยอมให้ผมขึ้นหน้า เมื่อเห็นรถผมตามติดๆ เข้าไปใกล้เขาก็เร่งรถให้เร็วขึ้น เราจึงแข่งกันคล้ายท้องถนนหลวงเป็นสนามแข่งประลองความเร็ว เพราะต่างคนก็มีความถือดี ไม่ยอมให้ขึ้นหน้าตามอารมณ์คะนองด้วยกันทั้งคู่
เวลานั้นผมมิได้นึกถึงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น จิตมุ่งแต่จะเอาชนะอ้ายคนขับรถอวดดีคันนั้นฝ่ายเดียว มันจะเป็นใครลูกใครพ่อมันจะใหญ่โตอย่างไร ผมไม่สนใจเพราะผมทนมันขับรถยั่วโทสะไม่ไหว เราจึงวิ่งคู่คี่ด้วยความเร็วไปตลอดทาง ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จึงเป็นที่หวาดเสียวของผู้คนเดินทางและรถที่สวนทางตลอดมา แต่รถคันนั้นมันวิ่งขึ้นหน้าไปได้ เพราะมีรถกุดังออกจากข้างทาง ผมจะเร่งขึ้นหน้ารถบรรทุกคันนั้นไม่ได้ เพราะมันวิ่งกลางถนนปิดกันทาง ผมโกรธจนสติจะเสีย บีบแตรขอทางถี่ๆ พอวิ่งขึ้นหน้ารถบรรทุกได้ ผมก็เร่งคันน้ำมันกวดติดตามรถคันนั้นทันทีด้วยอารมณ์ร้อนใจเร็ว
แต่แล้วเหตุการณ์อันน่าสยดสยองครั้งใหญ่ในชีวิตของผมก็อุบัติขึ้น เพราะข้างหน้ามีรถรับส่งนักเรียนพุ่งออกมาจากซอย คนขับรถก็ตกใจห้ามล้อทันที ในรถมีเด็กนักเรียนเต็ม ผมใจหายหมดสันหลังเย็นวาบ เพราะเป็นระยะที่ไม่สามารถจะห้ามล้อให้รถหยุดได้ทันที ผมรีบหักพวงมาลัยหลีกการปะทะกับรถคันหน้าด้วยความตกใจกลัว แต่แล้วรถก็แฉลบไปข้างถนน ตรงเข้าไปในหมู่ฝูงคนซึ่งกำลังยืนรอรถประจำทาง เพราะผมเพียงแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้ามิได้สนใจทางอื่น ผู้คนเห็นเหตุการณ์ที่รถวิ่งแฉลบเป็นอันตรายเช่นนั้นก็ตกใจ ต่างคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดไปคนละทาง
ผมรับว่าตาลายมองไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ว่ารถวิ่งไปทางใด ประสาทผมมันชางงไปหมด ใจหายหมดสติ รู้แต่ว่ารถฝ่าเข้าไปในหมู่คนเป็นเวลาที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต ผมอยากจะหลับตาเพราะรู้ว่าเบื้องหลังมีอะไรเกิด ผมไม่สามารถจะควบคุมจิตใจ ไม่มีอำนาจจะยับยั้งผลแห่งความประมาท อยากจะหลับตา ไม่อยากเห็นภาพสยดสยองที่เกิดขึ้น ที่สุดรถก็หยุดลงเพราะมีเสายันอยู่หน้ารถหลังจากปะทะร่างมนุษย์ล้มลงระเนระนาด มีทั้งบาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส ทั้งที่เสียชีวิต ผมไม่รู้ตัวว่าผมได้ทำอะไรลงไป
เสียงร้องโอดครวญของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บส่วนมากเป็นเด็กนักเรียน เสียงเอะอะอลหม่านเรื่องช่วยคนบาดเจ็บ และต่างคนต่างก็ส่งเสียงร้องบอกต่อๆ กันอย่างอลเวง รถชนเด็กนักเรียนตาย มีเสียงให้โทรศัพท์แจ้งตำรวจท้องที่ด่วน ส่วนตัวผมนั้นนอกจากพวงมาลัยจะกระแทกหน้าอกรู้สึกชาและจุกแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ผมไม่มีเวลาจะนึกถึงตัว
เมื่อได้ยินได้เห็นเหตุการณ์รอบข้างที่เกิดขึ้น เพราะผมเป็นผู้ก่อเป็นผู้ทำ ผมได้ฆ่าเด็กนักเรียนที่น่ารักน่าเอ็นดูตายโดยไม่เจตนา ทำให้อีกจำนวนหนึ่งได้รับความบาดเจ็บไม่รู้ว่ากี่คน ความรู้สึกของผมตะลึงชาหมดทั้งตัวมือเท้าอ่อนหมดแรง สิ่งที่ผมต้องการที่สุดในเวลานั้นก็คืออยากจะหลับตาแล้วก็สิ้นใจตายคาพวงมาลัย คงจะเป็นความสุขที่สุด
มีพลเมืองดีมาคุมผมไว้ไม่ให้หนี เพื่อรอคอยมอบให้ตำรวจ ภาพที่น่ากลัวมากก็คือ สายตาของทุกคนจ้องมองดูผมอย่างศัตรู คล้ายแสดงกิริยาอยากจะฉีกเนื้อผมออกเป็นชิ้นๆ ด้วยความโกรธ แม้แต่หญิงชราก็มายืนร้องไห้ด้วยความสงสาร ชี้หน้าแช่งด่าผมอย่างหยาบคาย ตามธรรมดาผมฟังไม่ได้ ทั้งๆ ที่แกไม่ได้เป็นญาติกับคนที่ตายและบาดเจ็บเหล่านั้นเลย เพราะความเจ็บแค้นคิดสงสารเด็กๆ
นี่เป็นเพียงผู้อื่นยังมีความรู้สึกเพียงนี้ แล้วพ่อแม่ญาติพี่น้องของเด็กจะมีความรู้สึกเพียงไร ตั้งแต่ผมเกิดมายังไม่เคยมีใครมาชี้หน้าแสดงกิริยาหยาบคายเช่นนี้มาก่อนเลย แต่บัดนี้พอผมได้ทราบว่าตัวได้ขับรถชนคนตาย ผมก็แทบจะหมดสติจะช็อก ความรู้สึกชาหมด ทั้งตัวแม้หญิงชราจะมายืนชี้หน้าแช่งด่าหยาบคายเพียงไร ก็ไม่เข้าสู่ความรู้สึกเหมือนเวลาธรรมดา ทั้งรู้สึกควรแล้วที่ทุกคนจะมารุมแช่งด่าผมที่ประมาท
รู้สึกว่าชีวิตอนาคตของผมได้สิ้นสุดลงพร้อมทั้งความเป็นอิสระ ความหวังที่เจริญรุ่งเรืองที่ได้อุตส่าห์พยายามไปศึกษาวิชาความรู้มาจากต่างประเทศเป็นเวลานานปี เพื่อหวังความก้าวหน้าด้วยการใช้วิชาความรู้ บัดนี้เหมือนดวงไฟกำลังส่องแสงรุ่งโรจน์แจ่มใสดับลงเหมือนตัวผม พร้อมทั้งเกียรติที่คนยกย่องนับถือ ได้ตกจากที่สูงไปสู่ก้นเหวนรกเบื้องต่ำ
ทุกอย่างสูญสิ้นไม่มีอะไร คงมีเหลือแต่ความเศร้าโศกไว้ให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง เมื่อได้ทราบข่าวสลดใจอันนี้ ต่อไปก็จะต้องขาดการติดต่อกับโลกภายนอก และไม่รู้ว่าเมื่อใดจะใช้หนี้กรรมหมด เพื่อได้รับแสงสว่างแห่งความอิสระ วิชาความรู้และทรัพย์สินเงินทองก็ไม่สามารถจะช่วยพ้นหนี้กรรมอันนี้ได้ ความประมาทเกิดอุบัติเหตุ ย่อมทำลายอนาคตทั้งคนขับรถและผู้ถูกชน”
เป็นเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนหลวงโดยย่อ เท่าที่รู้เห็นความจริง เรื่องหลังอุบัติเหตุมีมากมายใหญ่หลวงนับไม่ถ้วนราย เกินกว่าที่จะนำมาเขียนได้ เพียงแต่ตัวอย่าง “เบื้องหลังแห่งกรรม” ก็ได้รู้ได้ทราบดังกล่าวมาแล้ว คงจะทำให้ผู้ขับขี่ยวดยานในท้องถนนเพิ่มความระมัดระวังไม่ให้เกิดความประมาท ท่านที่ชอบดื่ม เมื่อทราบว่าตัวเมาแล้ว ก็ไม่ควรแตะต้องพวงมาลัยรถ มิฉะนั้นโศกนาฏกรรมจะเกิดขึ้นดังเรื่องที่ได้กล่าวมาแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าต่อไปกรรมที่เราได้สร้างไว้อาจตามสนองเรา หรือบุตรหลานผู้รักใคร่ใกล้ชิดในวันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งจะเรียกว่ากรรมสนองก็คงไม่ผิด
อันคนเราแม้บางครั้งจะเคยประกอบกรรมทำชั่วมาแล้ว ก็คิดละอายใจทำให้กลับตนเป็นคนดี ทำมาหากินโดยสุจริต ดังเรื่องของเพื่อนรุ่นพี่ได้ประสบมาแล้วด้วยตัวของท่านเอง คุณพี่เป็นผู้ที่อยู่ในศีลธรรมเป็นคนเที่ยงตรง พร้อมทั้งมีความกรุณาปรานี มองคนในแง่เห็นอกเห็นใจช่วยผู้ทุกข์ยากที่บริสุทธิ์ เป็นที่เคารพของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นที่รักใคร่ของผู้ใหญ่ที่เที่ยงตรง
ครั้งหนึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการในองค์การแห่งหนึ่ง และองค์การนี้มีรถยนต์บรรทุกของหลายคันที่ใช้ประจำองค์การ และมีการเบิกเงินซื้อยางนอกในเป็นประจำบ่อยครั้งจนเป็นที่สงสัย คุณพี่นึกว่าทำไมยางรถยนต์บรรทุกมันจึงให้เปลืองมากเช่นนี้ คงจะมีการทุจริตเกิดขึ้นเป็นแน่ แต่เมื่อดูยางเก่าที่ขอเปลี่ยนมันก็เสียใช้ไม่ได้จริงๆ จึงมาคิดดู แล้วสั่งอนุมัติให้ซื้อเปลี่ยนได้ แต่ยางเส้นใหม่นี้ได้แอบทำเครื่องหมายลับไว้แล้ว โดยร่วมรู้เห็นกับผู้จัดการเป็นความลับ
เมื่อเบิกไปใช้แล้วก็ทำเป็นไม่รู้ ต่อมาไม่นานคนรถก็มาขอเบิกยางนอก โดยบอกว่ายางที่เบิกได้แตกแล้วใช้ไม่ได้ คุณพี่จึงได้นำยางเก่ามาตรวจดู แล้วก็เห็นได้ว่ามันไม่ใช้ยางที่ทำเครื่องหมายลับไว้ จึงรู้ว่าเป็นการทุจริตเกิดขึ้น จึงได้ไต่สวนและชี้แจงให้เห็นหลักฐานในการทุจริต คนขับรถก็จนต่อเหตุผลจึงรับสารภาพว่า คิดทุจริตจริงตามความเข้าใจ คุณพี่สั่งให้ไล่ออกทันที เหตุการณ์ทุจริตในวงการนั้นก็ยุติลงตั้งแต่นั้นมา
เหตุการณ์ได้ผ่านไปเป็นปีๆ เย็นวันหนึ่งคุณพี่บอกว่าฝนตกหนักหลังจากเลิกงานแล้ว แต่ฝนก็ไม่หาย ก็พอดีเห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งกำลังจะผ่านมา จึงเรียกให้หยุดรับแล้วก็ขึ้นบนรถบอกตำบลบ้านให้ไปส่ง ระหว่างเดินทางบนท้องถนนที่ฝนกำลังตกหนัก คนขับรถได้หันมาถามคุณพี่ว่า “ท่านจำผมได้ไหมครับ”
คุณพี่ได้พยายามมองหน้าก็จำไม่ได้ จึงบอกว่า “ขอโทษจำไม่ได้เคยรู้จักที่ไหนล่ะ”
คนขับรถแท็กซี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเคยทำงานที่...... แล้วถูกท่านไล่ออก เพราะผมเปลี่ยนเอายางใหม่ไปขาย และเอายางเก่ามาเบิกใหม่แทน”
เมื่อคุณพี่พิจารณาดูแล้วจำได้ก็สะดุ้ง ไม่รู้ว่าคนขับรถจะคิดโกรธแค้นอาฆาตอย่างไรบ้าง จึงถามดูว่า “การถูกไล่ออกนั้น เรามีความโกรธแค้นมากไหม”
คนขับรถยิ้มอย่างสบายใจแล้วพูดว่า “ทีแรกผมก็โกรธเหมือนนิสัยคนพาลสันดานชั่ว ไม่ยอมมองดูความผิดของตัวเช่นคนพาลทั่วๆ ไปแหล่ะครับ แต่เมื่อผมมาคิดพิจารณาดู ก็มองเห็นความกรุณาของท่านขึ้นมา ก็เกิดความเคารพเพราะท่านทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม ใครผิดก็ต้องรับโทษและเป็นบุญของผม เพราะถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่ท่าน เขาคงไม่เพียงไล่ออกอย่างเดียวเขาคงส่งผมเข้าไปในตะรางแล้ว ผมคงไม่เป็นอิสระกลับใจมาหากินด้วยความสุจริตเช่นนี้หรอกครับ ผมยังนึกถึงบุญคุณของท่านจนถึงทุกวันนี้ บัดนี้ผมเข็ดแล้ว ผมหากินสุจริตสบายใจ ไม่ต้องคอยสะดุ้งกลัวความผิดอีกแล้ว”
แต่พอรถวิ่งมาถึงบ้าน ซึ่งคนขับรถรู้จักดีอยู่ก่อนแล้ว พอรถหยุดคุณพี่หยิบเงินส่งให้ ๑๐ บาท แต่คนขับรถแท็กซี่ยกมือขึ้นไหว้ แล้วพูดขึ้นว่า “โปรดให้ผมได้รับใช้ท่านเถิดครับ ผมยังนึกถึงบุญคุณท่านอยู่เสมอ”
นี้ก็เป็นเรื่องของคนชั่วแล้วกลับตัวเป็นคนดี เมื่อได้สำนึกรู้สึกตัวกลับเป็นคนดีที่ควรยกย่อง เป็นเรื่องที่น่าคิด
ที่มา จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓ โดย ท.เลียงพิบูลย์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น