วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กรรมในอดีต



กรรมในอดีต 

เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ เราพร้อมด้วยผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย ได้ช่วยกันนำเทียนพรรษาไปถวายที่โบสถ์วัดตะเคียนทอง จังหวัดนครนายก เราออกรถแต่เช้ามีผู้ที่ร่วมไปในงานวันนั้นประมาณสามสิบกว่าคน มีท่านที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือจำนวนไม่น้อย เราได้ใช้เวลาเดินทางสนทนากันตลอดเวลา ในเช้าวันนั้นได้มีเพื่อนรุ่นพี่ที่ได้ถูกเคราะห์กรรมถูกไฟไหม้บ้าน ในคราวที่ไฟไหม้ฝั่งธนฯ ก่อนหน้าเราเดินทางไปถวายเทียนเข้าพรรษาวัดตะเคียนทองเพียงอาทิตย์เดียว

คุณพี่ผู้ชายนั้นใจเย็นคิดตก ไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ต้องเสียทรัพย์สินไปมากมาย คิดว่าเป็นผลแห่งกรรม ส่วนคุณพี่ผู้หญิงยังน้อยใจตัวเองว่า ครอบครัวเขาไม่เคยทำบาปกรรมอะไรเลย ทำไมถึงได้รับเคราะห์กรรมหนักเช่นนี้ เราได้ทำแต่ความดี นับแต่เริ่มรับราชการตลอดมาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ที่ดินก็เช่าที่วัดอยู่ไม่ได้มีทรัพย์สินเกินฐานะที่ได้รับราชการมาจนเกษียณอายุ เคยมีตำแหน่งที่คนเข้าใจว่าร่ำรวยมากมาย แต่เราทำงานตรงไปตรงมา จึงได้แต่สบายใจ เราทำงานด้วยจิตใจเป็นธรรม มีความสุจริตไม่เคยมีชื่อเสียงในทางไม่ดี มีประวัติขาวสะอาดเป็นที่ภูมิใจแม้ไม่ร่ำรวย ก็สร้างความสบายใจให้แก่ตนเอง

พวกเราต่างก็ช่วยกันชี้ให้เห็นกรรม เป็นของมีแน่นอนและย่อมได้ผลแตกต่างกันตามแต่กรรมนั้นจะเป็นอย่างไร แต่แล้วก็มีท่านผู้รู้ใจศรัทธาผู้หนึ่งได้เล่าเป็นนิทานคล้ายจะเป็นวรรณคดีจีน เมื่อข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นคติ แม้จะเป็นนิทานโบรมโบราณของจีนก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนารู้ จึงได้ถ่ายทอดมาเล่าสู่กันฟังว่า

เมื่อครั้งโบราณ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นคนใจบุญประกอบแต่การกุศล มีเงินเท่าใดก็สร้างแต่กุศล ภรรยาก็ห้ามว่าอย่าทำบุญมากมายนักเลย แต่ภรรยาห้ามเท่าใดก็ไม่ยอมฟังที่สุดก็ยากจนลง สามีจึงบอกภรรยาว่า บัดนี้เราก็ยากจนลงแล้วไม่อยากให้เจ้าได้รับความลำบากกับเรา เพราะเจ้ายังสาวสวยยังมีความแข็งแรงพอที่จะทำงานให้เขาได้ เราจะนำเจ้าไปขายให้เป็นคนใช้เขาดีกว่าจะอยู่กับเรา เพื่อเจ้าจะได้อยู่ดีกินดีมีความสุขสบาย เจ้าอยู่กับเรานั้นไม่มีความสบาย มีแต่ความยากลำบากจนตาย ทั้งเราก็จะนำเงินที่ขายเจ้าไปทำบุญสร้างกุคล
เพื่อเกิดใหม่เราจะได้มีความสุขสบายด้วยกัน ส่วนภรรยาเมื่อได้ยินสามีพูดเช่นนั้นก็ร้องไห้ไม่ยอมไปขายตัว จะยากจนก็จะยอมอยู่ด้วยกัน จนกว่าจะตายจากกัน สามีเห็นกิริยาและได้ยินเช่นนั้นก็สงสาร แต่ต้องทำเป็นโกรธตัดพ้อว่า “เจ้าเป็นภรรยาจะต้องเคารพและมีความกตัญญูต่อเราผู้เป็นสามี หากสามีประสงค์อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตาม ไม่มีทางเลือกหรือคัดค้าน จึงจะเป็นภรรยาที่ดี เราขายเจ้าเมื่อได้เงินแล้ว เราก็มิได้ไปหาความสุขอย่างไร เราจะเอาเงินที่ข้าพเจ้าได้ไปทำบุญต่อไป”

ภรรยาอ้อนวอนว่า “ท่านนี้จะนำข้าพเจ้าไปขาย ตกเป็นทาส ข้าพเจ้าก็จะไม่ว่าท่านจะยอมให้ท่านขาย แต่ขอให้ท่านนำเงินมาใช้บำรุงความสุข อย่านำไปทำบุญเลย บุญไม่เคยช่วยเราให้ได้ดีเลย แต่สามีไม่ได้เชื่อฟังคำภรรยา เมื่อได้นำภรรยาไปขายให้เป็นคนรับใช้ของภรรยาท่านเศรษฐีผู้หนึ่ง ได้เงินมาจึงได้นำเงินมาทำบุญสร้างกุศลต่อไป โดยไม่ได้คิดถึงความสุขส่วนตัว”

เวลานั้นร้อนไปถึงเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ที่ดูแลทุกข์สุขในโลกมนุษย์ ต่างมองเห็นชายผู้นี้ตั้งหน้าประกอบกรรมทำดีตลอดมาได้ยากจนลง และต้องเอาภรรยาไปขายเป็นทาส เมื่อได้เงินมาก็นำมาทำบุญสร้างกุศล ต้องยากจนลงอีก จึงประชุมเทพเจ้าทั้งหลายเมื่อได้พูดถึงเหตุใด ชายผู้นี้มีใจบุญสร้างแต่กุศล ทำไมจึงได้รับความทุกข์ยากจนเช่นนี้ ทำไมเทพเจ้าผู้คอยช่วยเหลือมนุษย์ที่ประกอบกรรมคุณความดีไม่ช่วยให้ชายผู้นี้ได้รับความสุข เมื่อเข้าประชุมเทพเจ้าก็สั่งให้เปิดบัญชีดูกรรมใดจึงให้ชายผู้นี้ได้รับความทุกข์ยาก เมื่อเปิดบัญชี เทพยดาผู้น้อยผู้รักษาบัญชีจึงบอกว่า

“อันชายผู้นี้ชาติก่อนๆ สร้างกรรมไว้หนัก จะต้องใช้หนี้ถึงสามชาติจึงจะพ้นกรรมในชาตินี้ จะต้องตายเพราะความอดอยากยากจน และชาติต่อไปก็จะต้องถูกฟ้าผ่าตาย และต่ออีกชาติก็จะตายด้วยถูกเสือกัดตายจะต้องใช้หนี้กรรมอีกสามชาติ จึงจะพ้นทุกข์ยาก”

เทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ได้พิจารณาเห็นเป็นกรรมของชายผู้นี้หนัก ต้องใช้หนี้กรรมต่อไปถึงสามชาติจึงจะพ้นกรรม ทั้งมองเห็นว่าในชาตินี้ฝ่ายผู้นี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาสร้างแต่กรรมดี มิได้สนใจในความสุขส่วนตัว ต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ ก็เกิดเมตตาสงสารคิดว่าสมควรที่จะพิจารณาลงโทษให้เพื่อสนองในการสร้างกรรมดีตลอดมา

ตกลงเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ก็ประชุมตกลงกันให้กรรมที่จะต้องรับทุกข์ทรมานถึงสามชาตินั้นให้รวมมารับกรรมเพียงชาติเดียวในชาตินี้ ต่อไปก็ให้กรรมดีตามสนองตกลงพร้อมกันแล้ว ก็สั่งให้เทพเจ้าผู้ดูแลทุกข์สุขในโลกมนุษย์ จัดการไปตามเทวบัญชาที่ได้ตกลงกันตามความเห็นชอบของเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่
ชายผู้ได้ขายภรรยาได้เงินมาก็นำไปสร้างกุศลที่สุดก็ยากจนลง อดอยากลำบาก กำลังจะรอความตายอยู่ในป่านอกเมือง ทันใดนั้น ฝนตกใหญ่ ฟ้าก็ผ่าลงมาต้องตัวชายผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งกำลังจะอดอาหารตายจนสลบ ทันใดนั้นมีเสือใหญ่ตัวหนึ่งโดดออกมากัดคอชายผู้นั้นจนขาดใจตาย แล้วก็หลบหนีเข้าป่าไป 

ชาวบ้านได้เห็นชายผู้เคราะห์ร้ายนี้ไปนอนตายอยู่ในป่า ต่างก็โจษกันเป็นเรื่องใหญ่ ที่ชายผู้นี้ต้องรับกรรมสามต่อ คือ อดอยากอาหาร กำลังจะตายยังต้องฟ้าผ่าช้ำอีก แต่แล้วยังไม่พอยังถูกเสือใหญ่มากัดที่คอนับว่าเป็นผู้ที่เคราะห์ร้ายที่สุด เมื่อเรื่องได้โจษจันรู้ไปถึงภรรยาของชายผู้เคราะห์ร้ายผู้นี้ เมื่อทราบข่าวสามีได้ตายลงอย่างทุกข์ทรมานก็มีความโศกเศร้าเสียใจ จัดแจงขออนุญาตนายผู้หญิง ซึ่งเป็นภรรยาเศรษฐีไปดูศพสามี 

รำพันถึงชีวิตที่ได้รับความทุกข์ยาก เพราะไม่เชื่อคำตักเตือนว่า การทำบุญไม่ได้เกิดผลดีอะไรให้เกิดขึ้นเลย ได้แต่รับเคราะห์กรรมความลำบากตลอดเวลา ภรรยาจึงได้จัดการทำศพตามประเพณีก่อนที่จะนำศพใสโลงนำไปฝังนั้น หญิงผู้เป็นภรรยาได้กัดนิ้วชี้ของตัวเองจนเลือดไหล เอานิ้วเขียนเป็นหนังสือไว้ที่หน้าผากศพชายผู้เคราะห์ร้ายสามคำ มีใจความว่า “บุญไม่ช่วย” แล้วนำเอาศพไปฝังตามประเพณี 

ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินได้เกิดทารก ซึ่งเป็นรัชทายาทกับพระมเหสี เด็กที่คลอดออกมานั้นเป็นชาย บนหน้าผากมีตัวอักษรอยู่สามคำว่า “บุญไม่ช่วย” นับแต่ทารกได้คลอดออกมาก็เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลา ไม่มีใครสามารถจะทำให้ทารกหยุดร้องไห้ได้ ทำให้พระเจ้าแผ่นดินมีความร้อนพระทัยมาก จึงปิดประกาศและตีฆ้องร้องเป่าไปตามที่ต่างๆ ว่า ถ้าใครสามารถจะทำให้ทารกหยุดร้องไห้ได้ จะขออะไรให้ทุกอย่างไม่ขัดข้อง ทั้งบอกลักษณะทารกมีตัวอักษรสามคำอยู่ที่หน้าผากด้วย 

หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าของชายผู้เคราะห์ร้าย เมื่อได้ทราบเรื่องการเป่าร้องและประกาศหาผู้รู้จะทำให้รัชทายาทที่จะหยุดร้องไห้ และลักษณะของทารกที่จะเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ต่อไป มีตัวอักษรบนหน้าผาก ก็นึกรู้ว่าสามีของตนได้มาเกิดจะเป็นผู้สูงศักดิ์ต่อไป ก็รับอาสาว่าเป็นผู้สามารถจะจัดการให้ทารกผู้สูงคักดิ์นั้นหายจากโรคร้องไห้ไม่หยุดได้ พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีทรงมีความยินดีที่มีคนรับอาสาเช่นนั้น จึงได้นำทารกชึ่งกำลังร้องไห้มาให้หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าของชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นรักษา 

ทันใดนั้น เมื่อเห็นตัวอักษรบนหน้าผาก ก็แน่ใจว่าสามีของนางได้มาเกิดเป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์แล้ว จึงอธิษฐานแล้วเอามือลูบตัวหนังสือที่หน้าผากเจ้าชายทารก พลางพูดว่า “บัดนี้บุญได้สนองท่านแล้ว หนังสือสามตัวนี้ไม่จำเป็นที่จะอยู่ต่อไป” เมื่อมือลูบไปถูกตัวหนังสือก็หายไปสิ้นจากหน้าผาก ทันใดนั้นเจ้าชายทารกก็หยุดร้องไห้ทันที 

พระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีดีพระทัยมาก ได้รับสั่งกับหญิงผู้รักษาทารกให้หยุดร้อง และทำให้ตัวหนังสือที่หน้าผากที่น่าเกลียดหายไปว่า เจ้าต้องการสิ่งใด เราจะประทานให้ทุกอย่าง หญิงผู้นั้นก็กราบทูลกับพระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสีว่าจะไม่ขออะไร ขอเพียงได้เป็นพระพี่เลี้ยงได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชายตลอดไปก็เป็นที่พอใจแล้ว 

พระเจ้าแผ่นดินดีพระทัยทรงอนุญาตให้ตามคำขอ และทรงแต่งตั้งให้เป็นพระพี่เลี้ยงผู้สูงศักดิ์และพระราชทานแก้วแหวนเงินทอง ข้าทาสหญิงชายบ้านเรือนที่ดินมากมาย เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินและพระมเหสี มีอำนาจเข้าเฝ้าได้ทุกเวลา ทั้งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์และนางพระพี่เลี้ยงก็ได้รับความสุขด้วยกันตลอดมา นิทานเรื่องนี้แฝงไว้ด้วยคติธรรมเป็นเรื่องน่าคิด อาจจะแก้ปัญหาของผู้ที่เคยบ่นทำดีไม่ได้ดีบ้างไม่มากก็น้อย 

ข้าพเจ้าอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องนี้แม้จะเป็นนิทานโบราณ แต่ข้าพเจ้าก็เคยมีเรื่องจริงเกิดขึ้นแล้วในเมืองไทยเกี่ยวกับตายแล้วเกิด คือ เมื่อสมัยข้าพเจ้าอยู่ในวัยเด็ก มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่กันมาด้วยความสงบสุข ต่อมาภรรยาตั้งท้องเมื่อครบกำหนดก็คลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย สองสามีภรรยาได้พยายามเลี้ยงดูลูกของตนอย่างดี แต่พออายุได้เพียง ๓ เดือนก็ตาย เป็นที่เศร้าโศกของสามีภรรยายิ่งนัก ต่อมาภรรยาก็ตั้งท้องอีก พอครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นชาย และอยู่ได้เพียง ๓ เดือนก็ตาย ต่อมาก็ตั้งท้องเช่นเดียวกัน และอยู่ได้ ๓ เดือนก็ตาย 

ฝ่ายสามีรู้สึกโกรธแค้นมากที่มาหลอกให้ท้องแล้ว ให้เลี้ยงเพียง ๓ เดือน พอเด็กคนที่ ๓ ก่อนจะใส่หม้อไปฝัง จึงเอาสันมีดโต้สับตรงหัวแม่มือซ้ายให้แบนเป็นเครื่องหมายว่า มันจะเกิดอีกไหมมันจะเป็นคนเก่ามาเกิดหรือไม่ และต่อมาภรรยาก็ตั้งท้องอีกเมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมาเป็นชาย แต่หัวแม่มือซ้ายนั้นแบนเหมือนสันมีดทุบ ได้เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงมีสุขภาพดี พวกเด็กรุ่นเดียวกันในสมัยนั้นเรียกเด็กคนนี้ว่า “อ้ายแบน” จะมีชื่อจริงอะไรจำไม่ได้ เข้าใจว่าปัจจุบันนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเมื่อสมัยข้าพเจ้ายังเด็กๆ 

วันนั้น เราได้รับความสนุกสนานได้แลกเปลี่ยนการสนทนากันตลอดเวลา แม้ฝนจะเทลงมาบ้างก็ไม่เป็นอุปสรรคในการร่วมบุญกุศลถวายเทียนเข้าพรรษาในวันนั้น เรากลับถึงบ้านด้วยความสบายใจ ด้วยความอนุเคราะห์จากท่านผู้ที่ข้าพเจ้านับถือและเป็นผู้เล่านิทานที่เกิดประโยชน์ทางใจ และท่านผู้นี้กับท่านที่เคยสร้างวิหารหลวงพ่อสุริยะมุนี ที่หน้าสถานีรถไฟ จ.พระนครศรีอยุธยาเป็นคนคนเดียวกัน 

ที่มา  จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔ โดย ท.เสียงพิบูลย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น