วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความหลังครั้งหนึ่ง



ความหลังครั้งหนึ่ง 


ถ้าจะนับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๓ ไปประมาณสิบกว่าปี ยังจำได้ คืนหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องราวของท่านผู้มีอายุผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ออกจะพิสดารอยู่มาก คืนนั้นอยู่ในเดือนพฤศจิกายน เป็นคืนข้างขึ้นเดือนหงาย เราเพื่อนๆ หลายคนได้ไปดูหนังที่ศาลาเฉลิมกรุง หนังเลิกตอนเที่ยงคืน เมื่อออกจากโรงหนังแล้ว เราชวนกันเดินตามสบายไม่รีบร้อน แล้วมาถึงที่ท่าเรือใต้สะพานพุทธยอดฟ้า ฝั่งพระนคร เพราะนัดกันไว้แล้วว่าจะไปลงเรือ ซึ่งเป็นองค์กฐินที่จอดคอยอยู่ที่ท่าใต้สะพานใหม่ กำหนดออกเรือเวลาประมาณตีหนึ่ง


หลังเที่ยงคืน ที่ใต้สะพานมีเรือกฐินจอดอยู่หลายราย ดูข้างเรือมีชื่อของคณะ แน่ใจว่าเรามาไม่ผิดลำแล้ว พวกเราจึงลงไปในเรือกฐิน ก็เห็นมีผู้คนทั้งหญิงชายมากหน้าหลายตา ต่างสนทนากันอย่างสนุกสนานอยู่บนเรือ แล้วเราจึงหาที่นั่งเพราะบางทีอาจจะต้องนอนถ้าง่วง


เมื่อพบผู้ที่รู้จัก เราต่างทักทายปราศรัยกันตามธรรมดาผู้ที่คุ้นเคยมาก่อน ที่ยังไม่รู้จักต่างก็แนะนำให้รู้จักกัน ด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและกิริยาวาจาสุภาพเรียบร้อย เพราะว่าจะได้เดินทางไปทำบุญสร้างกุศล ทำความดีร่วมกันทุกคน คืนนั้นตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ไม่มีเมฆหมอกมาบดบังดวงจันทร์ สามารถจะอ่านหนังสือพิมพ์ได้กลางแสงเดือน


เมื่อได้พบกับพวกเจ้าภาพแล้ว เราก็พากันมานั่งที่หัวเรือสนทนากับนายท้ายพลาง มองดูลำน้ำเจ้าพระยา มองเห็นเรือซึ่งแล่นขึ้นล่องตามท้องน้ำ ในยามดึกเดือนหงาย ความสว่างของแสงเดือนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยิ่งน่าดูน่าชม จิตใจเพลิดเพลินรอเวลาที่เรือจะแล่นออกจากท่า


คืนนั้นสังเกตดูผู้ที่จะเดินไปในงานกฐิน มีทั้งหญิงชาย เด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ต่างก็นั่งสนทนากันอย่างสนิทสนม แล้วแต่ว่าใครจะมีเรื่องอะไรมาเล่าสู่กันฟัง พวกผู้ใหญ่ที่มีอายุก็สนทนากันในกลุ่มผู้ใหญ่ มีเรื่องทำบุญถือศีลฟังเทศน์ฟังธรรม ที่วัดไหนดีฟังแล้วเข้าใจง่ายท่านอธิบายจะแจ้ง หรือไม่ก็ที่สำนักไหนสอนทางวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้เกิดปัญญามองเห็นทุกข์ได้อย่างจะแจ้ง แล้วก็ยกย่องสรรเสริญอาจารย์วัดนั้นวัดนี้ว่าดี คิดว่าเมื่อกลับจากงานกฐินคราวนี้ ก็จะชักชวนกันไปหาท่าน



ส่วนพวกหนุ่มๆ หวังความสนุกสนานเป็นข้อใหญ่ คุยกันแต่เรื่องหนังเรื่องละคร เที่ยวบาร์เที่ยวบาร์ฮอล ส่วนพวกนักธุรกิจถกเถียงกันแต่เรื่องตลาดการเงิน นับว่าทุกคนต่างก็ได้รับความเพลิดเพลินตามความประสงค์ ในการร่วมทำบุญกันในครั้งนี้ ส่วนข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ ก็ขึ้นไปสนทนากับนายท้าย ถามถึงทางที่จะไป และเรื่องของแม่น้ำลำคลอง ซึ่งเป็นความรู้ของนายม้ายโดยตรง


เมื่อมองไปสองข้างลำน้ำ ก็มองเห็นเรือองค์กฐินอีกหลายลำ กำลังเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนออกจากท่าไปยังตำบลต่างๆ กัน เพราะในวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันสุดท้ายหมดเขตทอดกฐิน มีเรือบางลำยังไม่ค่อยมีคนลง เพราะได้ยินจากนายท้ายว่าเรือลำนั้นจะออกท่าตอนตีห้า บางลำก็ออกตอนเช้า และเมื่อมองไปทางท้ายเรือองค์กฐินลำที่เราจะไป ก็เห็นเรือปิกนิกที่ใช้เรือยนต์ลากจูงทาสีขาวโอ่อ่า เป็นเรือแบบสองชั้นจุคนมาก เมื่อถามนายท้ายดูว่าเรือปิกนิกลำนั้นจะไปไหน เห็นคนไม่น้อย คงจะออกพร้อมกัน ก็ได้ทราบว่าเป็นขบวนเดียวกัน และเจ้าภาพจัดมาเพราะคนไปมาก


เมื่อมองดูก็เห็นเพื่อนที่รู้จักกันอยู่ในเรือลำนั้น ข้าพเจ้าจึงรีบชวนเพื่อนลงจากเรือยนต์ตรงไปขึ้นเรือปิกนิกสีขาว ซึ่งจอดอยู่ท้ายเรือยนต์ตรงกัน ทันทีที่เห็นเพื่อนเหลือบมาเห็นข้าพเจ้าก็ดีใจ เพราะต่างก็ไม่พบกันมานานแล้ว และไม่นึกฝันว่าจะพบกันในเรือกฐินนี้


เมื่อข้าพเจ้าได้แนะนำให้เพื่อนที่มาด้วยกันรู้จักกับเพื่อนคนนั้นแล้ว เพื่อนผู้มาก่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า “มาอยู่เรือลำนี้ดีกว่า ไม่หนวกหูเครื่องยนต์และไม่กระเทือนสะดวกสบาย มีห้องน้ำเสร็จ แต่ว่าไม่มีเหล้ากิน ถ้าจะกินเหล้าต้องไปลำโน้น ลำนี้สำหรับพวกไม่ชอบเอะอะ พวกคุณมาอยู่ลำนี้เถิดจะได้คุยกันสนุกดี ลำโน้นมีแต่พวกขี้เหล้า จะพูดอะไรกันก็ไม่ค่อยได้ยิน คนเมาพูดกันไม่รู้เรื่อง เรือพ่วงลำนี้มีเครื่องสายและนักร้องหญิงมีชื่อ ร้องเสียงหวานไพเราะ ส่วนในเรือยนต์นั้นมีแต่รวงซึ่งเลิกจากโรงหนังมาสมทบด้วย”


ตกลงคืนนั้นพวกเราชอบสงบ ไม่ชอบดื่มได้ย้ายมาอยู่เรือปิกนิกแทนที่จะอยู่เรือยนต์ดังที่ตั้งใจไว้เดิม ทราบว่าเจ้าภาพจัดเรือสีขาวสองชั้นสำหรับปิกนิกลำนี้ไว้เป็นพิเศษ เพราะมีผู้ที่มีอายุไม่ชอบดื่มสุรายาเมาและเสียงเอะอะของคนเมา นอกจากนั้นยังมีพระสงฆ์ร่วมเดินทางไปในทางนี้ด้วยสามองค์ จึงนับได้ว่าเรือลำนี้มีความสบาย แต่คงไม่ค่อยสนุกสนานเหมือนเรือที่มีสุรายาเมา


ขณะที่เรานั่งสนทนากันอยู่บนเรือชั้นบน ซึ่งสะอาดเรียบร้อย ก็เห็นพวกเจ้าภาพได้ลำเลียงเสบียงอาหารมาลงเรือแบ่งทำครัวสองแห่ง ลำเรือยนต์นั้นคงมีพิเศษทั้งเหล้าและเบียร์ สำหรับเรือปิกนิกคงจะมีแต่เพียงน้ำหวานแทน ในไม่ช้าพอได้เวลาตามกำหนด เรือออกจากท่าทิ้งเชือกพ่วงจูงเรือปิกนิกเป็นระยะห่าง พอที่จะได้ยินเสียงเอะอะจากเรือยนต์ลำหน้ามารบกวนความรู้สึกได้น้อยลง เราพากันมานั่งที่หัวเรือชมวิวชมแสงจันทร์


เมื่อเรือแล่นผ่านที่ต่างๆ ความเงียบสงัดของยามดึกภายใต้แสงเดือนอันแจ่มกระจ่างราวกับกลางวัน ทำให้มองเห็นทิวไม้เรือนแพและร้านค้าริมแม่น้ำ บางแห่งก็มีเรือข้าวจอดเรียงรายอยู่อย่างหนาแน่น เสียงขลุ่ยโหยหวนมาแต่ไกล ในยามดึก มีอิทธิพลทำให้จิตใจชุ่มชื้นขึ้นอย่างประหลาด เราต่างส่ายดูตามท้องน้ำและริมฝั่ง


แต่ก็ไม่วายที่จะแหงนมองดูดวงจันทร์และดวงดาวท้องฟ้า ได้ยินเสียงสุนัขเห่าดังจากฝั่งไกลออกไป คงเป็นของชาวบ้านสวนเห็นแต่ต้นหมากต้นมะพร้าวสูงชะลูดอยู่เหนือต้นไม้อื่นๆ เมื่อต้องกับแสงจันทร์เห็นเป็นสีเขียวแกมดำ มองเห็นศาลาท่าน้ำของวัดซึ่งมีธงจระเข้ปักไว้ที่เสา ๒ ข้าง แสดงว่าวัดนี้ได้ผ่านการรับกฐินไปแล้ว


มองเห็นเรือสำปั้นเล็กๆ ตัดตรงข้ามฟากเห็นหลังคาโบสถ์ ที่ต้องแสงเดือนเป็นประกายระยิบระยับสวยงามยิ่งนัก ทำให้ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่ยิ่งของพระองค์ ที่ทรงสั่งสอนสัจธรรมช่วยให้มนุษย์ได้รู้ถึงบาปบุญความชั่วต่างๆ แล้วเราก็ยกมือขึ้นพนมนมัสการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ


เมื่อคิดว่าเรากำลังจะไปประกอบกรรมดีก็สบายใจ ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงไก่ขัน เราพากันหัวเราะเพราะเจ้าไก่มันคงจะพึ่งตื่นนอน พอเห็นเดือนหงายกระจ่าง คงนึกว่าจวนสว่างแล้วรีบโก่งคอขัน แต่เมื่อขันไปแล้วก็คอยตะแคงหูฟัง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตัวอื่นขันรับ ก็นึกว่าตัวเองขันผิดเวลาเสียแล้ว เสียงที่ขันก็เงียบไป 


ต่อมาไม่ช้า พวกเจ้าภาพก็นำข้าวต้มกุ้ง ใส่กระทงใบตองใส่ถาดมาแจกทุกคน รู้สึกว่าข้าวต้มกุ้งคืนนั้นช่างอร่อยถึงเครื่องเสียจริงๆ บางคนรับประทานได้ถึง ๒-๓ กระทง หลังจากข้าวต้มกุ้งแล้ว ก็มีส้มเขียวหวานคนละสองผลเป็นของล้างคอ จากนั้นยังมีกาแฟดำที่มีบางท่านต้องการหลังอาหารยามดึกแล้ว พวกเรายังไม่มีใครง่วงนอน เห็นจะเป็นเพราะแสงสว่างของดวงจันทร์ทำให้ตาเราสว่างอยู่ตลอดเวลา 


เมื่อเหลียวเข้าไปดูในเรือ เห็นพวกผู้เฒ่าบางท่านเอนตัวลงนอนพักผ่อนกันบ้างแล้ว แต่บางท่านก็ยังสนทนากันอยู่ บางท่านก็นั่งตะบันหมาก เมื่อเราแล่นผ่านสะพานพระราม ๖ มุ่งตรงขึ้นเหนือ แล้วพวกเครื่องสายก็เริ่มบรรเลงขึ้นกลางความเงียบสงัด เสียงเพลงทำให้บรรยากาศของลำน้ำเจ้าพระยาครึกครื้นมีชีวิตชีวาขึ้นทันที นอกจากเสียงเครื่องสายซึ่งบรรเลงได้อย่างไพเราะ แล้วยังมีเสียงนักร้องซึ่งได้ยินแต่เสียงก็รู้สึกว่า มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ฟังให้เคลิ้มเสียแล้ว 


เราจึงชวนกันลงไปข้างล่างในเรือ เพื่อจะดูหน้าตาว่าเป็นอย่างไร เหตุใดเธอจึงมีเสียงไพเราะมีเสน่ห์เช่นนี้ จะสาวหรือแก่ จะสวยสดงดงามเพียงใด เพลงแรกที่เธอร้องคือลาวดวงเดือน ต่อจากนั้นก็เขมรไทรโยค ทุกๆ เพลงที่เธอร้องสะกดให้ทุกคนตรึงนิ่งอยู่กับที่ราวกับเสียงสวรรค์ เธอทำบุญอะไรนะจึงได้มีเสียงไพเราะเช่นนี้ 


ข้าพเจ้าพยายามมองดูผู้ร้องซึ่งนั่งอยู่ในกลุ่มสาววัยรุ่น ในวงเครื่องสายมีด้วยกัน ๕ คน มีทั้งต้นเสียงและลูกคู่อายุก็เห็นจะไล่ๆ กัน ทั้ง ๕ นาง ต่างก็มีความงดงามหยดย้อยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นกรมการก็คงตัดสินไม่ถูกว่าใครจะงามเด่นกว่าใคร ข้าพเจ้าพยายามดูว่าคนไหนเป็นต้นเสียง แต่ก็ดูไม่ออกเพราะเวลาร้องเธอก้มหน้ามองดูเสื่อทั้ง ๕ คน และไม่เห็นมีคนไหนอ้าปากสักคน ทั้ง ๕ คนนั้น 


คนแรกแต่งชุดสีชมภูอ่อน อีกคนหนึ่งแต่งชุดสีตองอ่อน คนที่สามแต่งชุดสีนวล คนที่สี่แต่งชุดสีเม็ดมะปราง และคนสุดท้ายแต่งชุดสีเทาอ่อน เพื่อนข้าพเจ้าซึ่งมองหาคนร้องอยู่เช่นกัน แต่มีไหวพริบดีกว่า แกแอบไปถามคุณป้าที่นั่งข้างๆ วงเครื่องสาย ท่าทางจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีผู้นับถือมาก แกเข้าไปยกมือไหว้อย่างนอบน้อม แล้วถามขึ้นว่า “ผมขอรบกวนถามคุณป้าหน่อยเถิดครับว่าใครเป็นต้นเสียง ร้องไพเราะเหลือเกิน ผมพยายามมองดูไม่รู้ว่าคนไหน เพราะแกก้มหน้าทั้ง ๕ คน มองดูปากก็ดูไม่ออก” 


คุณป้าทีแรกเมื่อเห็นเพื่อนข้าพเจ้าเข้าไปพูดด้วย ก็ทำท่าแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนอ่อนน้อม ก็ยิ้มรับอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินคำถามคุณป้าก็หัวเราะออกกมาได้ แล้วพูดว่า “อ๋อ ก็คนนั้นยังไงคะคุณ คนที่แต่งชุดสีชมพูอ่อนยังไงล่ะ เวลาร้องเพลงไทยเขาไม่อ้าปากกว้างเหมือนเพลงฝรั่งหรอกค่ะ เพราะเพลงไทยเป็นเพลงอ่อนหวานนุ่มนวล ฟังแล้วเย็นใจ แม้ทำนองจะช้าบ้าง” 


เพื่อนข้าพเจ้าพูดว่า “ขอบคุณครับคุณป้า ที่กรุณาให้ผมทราบ มิฉะนั้นผมดูทั้งคืนก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นต้นเสียง เธอสวยทั้งรูปเสียงไพเราะเป็นพรสวรรค์ แท้ๆ ผมเคยเห็นแต่คนเสียงไพเราะ ส่วนมากรูปร่างหน้าตาไม่ค่อยจะสวยนัก” คุณป้ายิ้มแล้วพูดว่า “รูปธรรม นามธรรม คุณจะให้สวยหมดทุกอย่างก็ต้องทำบุญทำทานให้จิตบริสุทธิ์ อย่าเป็นคนขี้โมโหโกรธง่าย เวลาเกิดก็จะได้ดีพร้อม หน้าตาจะสวยงามตามความปรารถนา ถ้าใครขี้โมโหง่ายเกิดมาจะเป็นคนขี้ริ้วไม่สวยงามตามพระท่านว่า” คุณป้าพูดแล้วก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี 


เพลงใหม่ที่บรรเลงขึ้นมาอีกคือตับพระลอ เสียงที่ร้องนั้นไพเราะจับใจมาก คราวนี้ประกอบด้วยการแสดงเดี่ยวจะเข้ ผู้ดีดเป็นหญิงมีอายุแล้ว ฝีมือดีอยู่ในชั้นเลิศ เสียงดนตรี เสียงนักร้อง เดือนที่แจ่มกระจ่างอยู่กลางท้องฟ้า เรือกำลังแล่นอยู่กลางลำแม่น้ำเจ้าพระยาในยามดึก เป็นบรรยากาศที่ส่งเสริมจิตใจให้เคลิบเคลิ้มเหมือนฝัน ความรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในวรรณคดียุคโบราณสมัยพระลอ 


เสียงอันหวานไพเราะของนักร้องหญิงวัยรุ่นรูปสวยเริ่มขึ้นว่า..........อายุเยาว์แรกรุ่นเจริญศรี พระเพื่อนพี่แพงน้องสองสมร..........ข้าพเจ้านิ่งงันด้วยความซาบซึ้งในความไพเราะของเพลง แต่เมื่อข้าพเจ้าเหลียวไปเห็นชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังเช็ดน้ำตา ข้าพเจ้าเพ่งดูอีกที เพราะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ชายผู้มีอายุแล้วจะมาร้องไห้เพราะอิทธิพลของเสียงเพลงเช่นนี้คิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ช้าเครื่องสายแสดงจบเพลงก็หยุดพัก เห็นชายสูงอายุผู้นั้นหลบออกไปนั่งท้ายเรือตามลำพัง 


ข้าพเจ้ากระซิบถามเพื่อนผู้ที่ชวนข้าพเจ้ามานั่งเรือปิกนิกว่า “คุณรู้จักลุงคนนั้นไหม เมื่อกี้ผมเห็นแกร้องไห้ เมื่อเสียงเพลงตับพระลอขึ้นตอนชมความงามพระเพื่อนพระแพง ผู้นั้นหน้าเศร้าลงจนมองเห็น” แล้วพูดว่า “ผมรู้จักแกดีครับ แกเป็นญาติกับผม เป็นคนฐานะหลักฐานดีแต่ยังอยู่เป็นโสด ผมเรียกแกว่าลุงแช่ม เป็นคนที่น่าสงสารเพราะชีวิตของแกเคยผิดหวังมาแล้ว แกเป็นคนดีมาก เปิดเผยไม่มีอะไรปิดบัง มีจิตเมตตากรุณาพวกผม พี่น้องรักลุงแช่มทุกคน ผมจะแนะนำให้คุณรู้จักลุงแช่ม ถ้าได้สนทนากับแกคงจะได้ความรู้สึกดีๆ อีกมาก ถ้าคุณรู้จักลุงแช่มแล้วคุณจะต้องชอบแกมาก มาเถอะผมจะพาไปแนะนำให้รู้จัก” 


ว่าแล้วเพื่อนผู้นั้นก็นำพวกเราไปที่ลุงแช่มนั่งเหม่อมองดูดวงจันทร์ และลำน้ำเจ้าพระยาอยู่คนเดียว พอแกเห็นพวกเราตรงเข้าไป แกก็ละสายตาจากทัศนียภาพเหล่านั้น หันมามองดูอย่างสงสัย เพื่อนผู้นั้นจึงแนะนำขึ้นว่า “คุณลุงครับ นี่เพื่อนๆ ผมอยากจะรู้จักลุง เพื่อนคนนี้เป็นคนนิสัยดีครับ เขาอยากสนทนากับคุณลุง เราเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนชั้นเดียวกัน ก่อนจะสำเร็จออกมาแล้วเราก็ไม่ได้พบกันมานาน เพิ่งจะได้พบกันคืนนี้แหละครับ” 


ลุงแช่มแกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ความเศร้าและน้ำตาเมื่อครู่นี้หายจากดวงหน้าไปหมดแล้ว คล้ายกับเด็กที่ร้องไห้แล้วก็หัวเราะได้ในระยะเวลาใกล้กัน แกพูดขึ้นว่า “นั่งลงเถิด มีอะไรอยากสนทนาว่าไปเลยตามสบายไม่ต้องเกรงใจ” ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้เป็นการแสดงความเคารพและขอบคุณแก แล้วก็พยายามพูดถึงเรื่องอื่นๆ ในงานกฐินพอสมควรแล้วจึงวกไปถามว่า 


“คืนนี้เครื่องสาย และนักร้องเสียงไพเราะดีเหลือเกิน เสียงหวานเย็นชุ่มชื่นดีจริงๆ เมื่อก่อนผมไม่เคยสนใจในเพลงไทยเลย คิดว่ามันยืดยาวกว่าจะร้องกว่าจะลงมันไม่ค่อยทันใจ แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่าเพลงไทยสำหรับคนไทยดีกว่าเพลงสากลมาก ในเรื่องความไพเราะนุ่มนวล เพลงสากลเร็วจังหวะร้อนแรงไม่เหมาะสมแก่สังคมชาวไทยเรา โดยเฉพาะพวกวัยรุ่นย่อมจะเป็นภัยเมื่อไปลุ่มหลงงมงายไม่มีสติยับยั้งชั่งจิตใจ” 


คุณลุงยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “เพลงไทยคืนนี้เพราะมาก ลุงชอบมานานแล้วและลุงก็ดีใจที่พวกคุณชอบเพลงไทย เพลงไทยเป็นเพลงที่ฟังแล้วเยือกเย็นไพเราะ เข้าถึงจิตใจอย่างลึกซึ้งยิ่งสำหรับคืนนี้เครื่องสายวงนี่เขาดีเหลือเกิน จะเข้ดีดได้อย่างไพเราะมาก คนร้องก็เสียงดีเหมาะเหลือเกินกับคืนเดือยหงายอย่างนี้ และเรือแล่นอยู่กลางแม่น้ำในคืนดึกสงบ เสียงเพลงลาวเจริญศรีชมความงามของพระเพื่อนพระแพง ฟังแล้วมันเข้าไปถึงยังส่วนลึกของจิตใจของลุง จี้ความรู้สึกเก่าๆ ให้กลับมาอีก บรรยากาศแวดล้อมทำให้จิตเคลิ้มเหมือนฝัน 


ความรู้สึกคล้ายกับวิญญาณล่องลอยถอยหลังกลับไปอยู่ยุคสมัยในวรรณคดี เหมือนกับตัวเองเป็นพระลอมองเห็น พระเพื่อนพระแพงงดงามหยดย้อยกว่าสตรีอื่นในโลกสมัยนั้น ลุงต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว นี่เป็นความรู้สึกของลุงที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงขับร้องในเรื่อง “พระลอ” ข้าพเจ้าได้ยินลุงแช่มเล่าถึงความรู้สึกในเสียงเพลง ก็อยากจะทราบเบื้องหลังชีวิตของแก จึงพูดขึ้นว่า “คุณลุงคงจะมีเรื่องอะไรสนุกๆ เล่าให้พวกผมฟังบ้าง ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมอยากทราบเรื่องชีวิตของคุณลุง เพราะได้ทราบว่าคุณลุงอยู่เป็นโสดตลอดมา เบื้องหลังชีวิตของคุณลุงคงจะมีอะไรเกี่ยวกับเสียงเพลง” 


ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดเจนจากแสงเดือนที่ส่องลงมาต้องหน้าลุงแช่ม รู้สึกว่าแกหน้าเศร้าลงถนัดพลางแกก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ลุงไม่ขัดข้องหรอก ตอนนี้เครื่องสายเขาก็พักผ่อนกันแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้แตรวงลำนั้นเขาบรรเลงสลับกัน เรือก็คงจะเดินทางไปตลอดรุ่ง เราคงจะมีเวลาคุยกันอีกนาน ถ้าไม่ง่วงนอนเสียก่อน” 


ข้าพเจ้าบอกว่า “เดือนหงายๆ อย่างนี้ไม่ง่วงนอนเลยครับ คุณลุง” และเพื่อนๆ ที่ล้อมวง อยู่ด้วยต่างก็ช่วยกันสนับสนุน 


ลุงแช่มพยักหน้าอย่างคนอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “จะให้ลุงเล่าเรื่องอะไรล่ะ อยากจะรู้ว่าทำไมลุงถึงน้ำตาไหล เมื่อได้ฟังเพลงตับพระลอ ชมความงามพระเพื่อนพระแพงหรือ” 


ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ผมอยากทราบตลอดแหละครับคุณลุง ประวัติของคุณลุงที่อยู่เป็นโสดมาตลอด และที่ได้ยินเสียงเพลงน้ำตาไหลคงเป็นเพราะคุณลุงนึกถึงอดีต เพื่อนผมเขาบอกว่าคุณลุงเป็นคนเปิดเผยใจดีจิตใจสูง ผมจึงได้กล้ามาขอร้องคุณลุง มิฉะนั้นก็คงไม่กล้าพูดกับคุณลุงเช่นนี้” 


เมื่อข้าพเจ้าพูดจบก็สังเกตดูกิริยาของคุณลุงแช่ม แกยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบใจที่ยอลุง ความจริงไม่มีความลึกลับอะไรหรอก มันเพียงชั่วเวลาของชีวิตที่ผ่านจากเด็กมาสู่ความเป็นหนุ่ม แล้วมาสู่วัยกลางคน แล้วก็ถึงวัยชรา ทุกคนที่มีวัยชราแล้วจะต้องผ่านชีวิตที่มีความหลัง นับแต่อายุ ๒๐ ปี ถึงอายุ ๔๐ ปี เป็นเวลาผ่านที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะเริ่มจะมีความรับผิดชอบช่วยตัวเอง ต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาครอบครัวและการงานทั้งยากและง่าย 


บางคนก็ต้องต่อสู้กับความทุกข์ยากลำบากนานาประการ บางคนก็ประสบกับความสุขความเจริญรุ่งเรือง บางคนก็มีอำนาจวาสนารุ่งโรจน์ บางคนก็ตกเป็นอาชญากร วิถีชีวิตของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน สุดแท้แต่ผู้ใดประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่วเป็นต้นเหตุ 


เมื่อวัยผ่านปีที่ ๔๐ ไปแล้ว ถ้าเราไม่เข้าไปยุ่งในทางโลกให้มาก เข้าหาหลักธรรม ปฏิบัติในศีลสัตย์ ความหลงงมงายก็ค่อยๆ เบาบางลงพ้นทั้งเรื่องปัญหาและความยุ่งยากต่างๆ ที่สุดก็มาถึงความชราและความตายเป็นการจบฉาก แต่สำหรับชีวิตการต่อสู้ของลุงนั้น ออกจะแปลกประหลาดกว่าคนอื่นที่อยู่ในยุคเดียวกัน นับแต่เมื่อลุงเริ่มเข้าศึกษาวิชาความรู้ในโรงเรียน ได้พบปะกับเพื่อนฝูงที่มีวัยเดียวกัน และครูบาอาจารย์ ความรู้สึกต่างๆ ก็ผ่านเข้ามาตามที่ได้ยินได้ฟัง 


ตอนเมื่อสมัยลุงเป็นนักเรียนนั้น ทางโรงเรียนมีครูที่เป็นพระภิกษุสอนหนังสือตามชั้น และสอนศีลธรรมอบรมจิตใจ พระภิกษุที่เป็นชาวอีสานก็บรรยายถึงภูมิประเทศ ก็ยกย่องภูมิลำเนาของท่าน ดินฟ้าอากาศ ลำน้ำโขง และลำแม่น้ำชี ทั้งประเพณีของชาวเมืองทางอีสานก็มีส่วน 


พระภิกษุผู้เป็นชาวภาคเหนือก็บรรยายถึงชีวิตของชาวเหนือ บรรยายถึงลำน้ำแม่ปิง วัง ยม น่าน บรรยายถึงความสวยสดงดงามของขุนเขาดอยสุเทพฯ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เชิดชูเชียงใหม่ความสวยงามของสาวชาวเหนือ ประเพณีและวัฒนธรรมที่สูงส่ง นิสัยใจคอและความเป็นอยู่ของชาวเหนือ เวลานั้นลุงรู้สึกว่าตัวเองเคลิบเคลิ้มไปตามคำบรรยายของพระภิกษุผู้เป็นครู นับตั้งแต่วันนั้นมาลุงก็มีความใฝ่ฝัน มีจิตจดจ่ออยากจะขึ้นไปทางภาคเหนือ มีเมืองแพร่ เมืองน่าน ลำปาง ที่สนใจมากก็คือเชียงใหม่ คิดอยู่ตลอดเวลา 


สมัยนั้นรถไฟยัง ไปไม่ถึงต้องไปเรือหางแมงป่องมันบ้าคลั่งมาตั้งแต่ที่ปากน้ำโพ การเดินทางกินเวลาเป็นเดือนๆ แต่ลุงก็นึกเสมอว่า วันหนึ่งข้างหน้าลุงจะต้องเดินทางไปในทางภาคเหนือให้ได้ ไม่ว่าจะไปทางเรือรถ ไม่ว่าจะสบายหรือลำบากสักเพียงใด ลุงได้ไต่ถามถึงการเดินทางจาก พระภิกษุผู้เป็นครูรูปนั้น ก็ได้ความว่า เป็นการเดินทางที่ทุรกันดารมาก ลุงก็ได้แต่นึกฝัน เพราะยังเป็นเด็กเกินไป 


เวลาผ่านไปจนลุงเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่เคยลืมความตั้งใจที่จะเดินทางขึ้นไปนครเชียงใหม่เลย เวลานั้นรถไฟยังสร้างทางไปไม่ถึงนครเชียงใหม่ ไปสุดทางแค่นครลำปางและกำลังวางรางต่อไป แต่ต้องล่าช้ามาก เพราะยังติดการระเบิดถ้ำขุนตาลเพื่อทำทางเป็นอุโมงค์ให้รถผ่านไป แต่จิตใจของลุงคิดอยู่แต่ว่าเมื่อไรรถไฟจะไปถึงเชียงใหม่ใจใฝ่ฝันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งนานวันความรู้สึกก็ยิ่งทวีมากขึ้น ต่อมาเมื่อรถไฟถึงนครเชียงใหม่ก็เป็นโอกาสที่ลุงจะเดินทางขึ้นไป ตามที่ได้ใฝ่ฝันถึงมาเป็นแรมปี 


ต่อมาโชคดีก็มาถึง จำได้ดีว่าลุงได้ออกจากกรุงเทพฯ ในวันอาทิตย์รถไฟออกจากสถานีหัวลำโพง ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นเวลาบ่าย ๔ โมง มีเพื่อนฝูงไปส่งกันมากมาย สมัยนั้นยังไม่ค่อยมีใครเดินทางขึ้นไปเชียงใหม่ เพราะรู้สึกว่าไกลมากไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ เพื่อนฝูงของลุงทุกคนยังไม่เคยมีใครไปมาก่อนเลย ผู้ที่เดินทางขึ้นล่องก็มีแต่พวกค้าขาย และผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือ หรือข้าราชการเท่านั้น คนธรรมดาน้อยนักที่จะขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ 


ลุงได้มีท่านผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง ท่านได้มีหนังสือฝากฝังแนะนำให้ไปหาผู้มีชื่อทางภาคเหนือ เมื่อขึ้นไปบนรถไฟสถานีหัวลำโพง ลุงรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในชีวิตเพราะความฝันที่จะได้ขึ้นไปภาคเหนือเมืองเชียงใหม่นั่นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ประเดี๋ยวรถไฟก็จะพาลุงเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ด้วยความตื่นเต้นดีใจมากจนเพื่อนบางคนก็แอบนินทาว่า 


“เฮ้ย นั่นมันจะขึ้นไปหาหอกอะไรกันที่เชียงใหม่น่ะ การงานกรุงเทพฯ ก็มีแต่ไม่ทำ” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูดว่า “มันบ้าคลั่งมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว” ลุงดีใจเกินกว่าที่จะสนใจในคำเหล่านี้ เมื่อเสียงระฆังได้กำหนด ไม่ช้ารถไฟก็เคลื่อนออกจากสถานีตรงเวลา พวกเพื่อนฝูงต่างโบกมือให้ศีลให้พรพูดจาตลกคะนองกันตามวิสัย 


ลุงค้างแรมคืนมาในรถไฟจำได้ดีว่า วันรุ่งขึ้นเวลาเกือบย่ำค่ำรถไฟก็เข้าเทียบชานชาลาเชียงใหม่ เป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบแผ่นดินเชียงใหม่ มาเห็นขุนเขาดอยสุเทพอันยิ่งใหญ่มีชื่อในแผ่นดินไทย เมื่อลงมาจากรถไฟก็ยืนหิ้วกระเป๋าเก้ๆ กังๆ มายืนอยู่ที่ชานชาลา สถานี 


บ้านที่ลุงจะไปพักอยู่ทิศไหนก็ไม่รู้ เมื่อหยิบจดหมายขึ้นมาดูจ่าหน้าซองถึงตำบลที่อยู่ของผู้ที่จะไปหาแล้วก็ออกมาหน้าสถานี เห็นรถลากสองล้อแบบรถเจ๊กในกรุงเทพฯ ผิดแต่ว่าชาวเมืองเป็นผู้ลากรถจอดเป็นแถว นอกจากรถลากก็ยังมีรถม้าจอดคอยคนโดยสารอีกข้างหนึ่ง ต่างก็เสนอจะเป็นผู้พาไปตามที่ลุงบอก เมื่อพูดกันแล้วปรากฏว่า คนเมืองเชียงใหม่พูดภาษาพื้นเมืองทั้งนั้น ฟังออกบ้าง จึงพอจะรู้เรื่อง 


แต่บังเอิญ มีคนพูดไทยภาคกลางได้ดี คงจะเคยอยู่กรุงเทพฯ มาก่อน ลุงจึงตกลงนั่งรถคันนั้น อากาศในย่ำค่ำวันนั้น รู้สึกว่าจะมีหมอกและชักจะเย็น มองดูเห็นดอยสุเทพซึ่งอยู่ข้างหน้ามัวๆ ถนนเชียงใหม่เวลานั้น เห็นจะมีแต่เกวียนเทียมด้วยวัวเป็นพาหนะขนส่ง บรรทุกสินค้าจากตู้รถไฟทุกอย่างที่ไปจากรุงเทพฯ ส่งตามร้าน และบรรทุกข้าวเปลือกจากนอกเมืองส่งตามโรงสี ได้ยินแต่เสียงล้อเสียดสีกับเพลา ดังอ๊อดๆ แอ๊ดๆ และเสียงกระดิ่งที่ผูกคอวัวอยู่ตลอดเวลา 


ทั้งเสียงคนขับก็ร้องเร่งด่าวัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเสียงคนขับก็ร้องเร่งด่าวัวเป็นคำเมือง เหมือนมันรู้ภาษาคนและไม้หวดลงไปที่หลังวัว ที่ก้นวัว จากนั้นก็มีรถลากและรถม้าเดินขวักไขว่อยู่ตามถนน นานๆ จะเห็นรถยนต์ผ่านมา เห็นชาวเมืองนุ่งซิ่นสีต่างๆ เกล้ามวยแบบหญิงญี่ปุ่น ปักดอกกุหลาบบนผมหาบของเดินเป็นทิวแถว 


มันเป็นภาพที่แปลกตาและตื่นเต้นสำหรับลุงมาก เสียงผู้คนที่สัญจรไปมา พูดจาปราศรัยกันฟังดูสำเนียงมันช่างไพเราะอย่างยิ่งสำหรับลุง เห็นพระหรือเณรออกมาทานอาหารในเวลาเย็นค่ำตามร้านขายอาหาร นอกนั้นยังเห็นพระขี่ม้าห้อไปตามถนนก็แปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน เมื่อเห็นบ้านที่จะไปพักพบแล้ว ลุงก็เข้าไปแนะนำตัวเอง และนำจดหมายที่ผู้ใหญ่ฝากไปให้ ท่านเจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้มีอันจะกิน ท่าทางใจดีเขาเรียกกันว่า “พ่อเลี้ยง” 


ท่านได้ต้อนรับลุงเป็นอย่างดี และให้ลุงถือเสมือนบ้านของท่านเป็นบ้านของลุงเอง ซึ่งลุงรู้สึกว่าเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ท่านเจ้าของบ้านได้บอกว่าได้รับจดหมายจากกรุงเทพฯ และให้คนไปรับที่สถานีแล้ว แต่เนื่องด้วยไม่เคยรู้จักตัวมาก่อน เลยไม่รู้ว่ามาหรือเปล่า ลุงบอกกับท่านว่าลุงไม่นึกว่าจะมีคนไปรับ เมื่อรถไฟเข้าเทียบสถานีแล้ว ลุงก็รีบออกมาขึ้นรถลากตรงมาหาบ้านทันที ซึ่งชื่อของเจ้าของบ้านมีคนรู้จัก และเสียใจที่ปล่อยให้คนรับไปคอยเก้อ 


ตกลงลุงได้พักอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ ท่านเจ้าของบ้านบอกว่า จะพักอยู่นานเท่าใดก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ หากจะทำงานในเชียงใหม่ ท่านก็จะฝากให้ทำป่าไม้กับชาวต่างประเทศ เพราะเขาต้องการคนที่สำเร็จการศึกษาใหม่ๆ และรู้ภาษาต่างประเทศดี ลุงบอกว่าจะขอเที่ยวสักพักหนึ่งก่อนแล้วจึงจะตกลงใจ บังเอิญลูกหลานของเจ้าของบ้านที่ลุงไปพักนั้นเป็นคนภาคกลาง เพิ่งจะขึ้นมาเชียงใหม่ได้ไม่นานนัก อายุก็รุ่นราวคราวเดียวกัน ฉะนั้นเมื่อจะไปไหนเราก็ไปด้วยกันอย่างถูกคอ ชายหนุ่มผู้นั้นชื่อ “แจ้ง” 


ชีวิตของลุงเวลานั้นมีความชุ่มชื่นคล้ายกับปลาที่ได้แหวกว่ายไปในสายน้ำอันเย็นชื่นฉ่ำ เพราะได้มาถึงดินแดนที่เคยนึกฝันมานานแล้ว เช้าวันหนึ่งเราไปเที่ยวที่ตลาดวโรรส ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น หรือเรียกว่าตลาดหลวง ลุงนั่งกินกาแฟกับเพื่อนที่ร้านกลางตลาด มองดูชาวเมืองจ่ายตลาดตอนเช้ามากมายเสียงจอแจ ส่วนมากมีแต่ผู้หญิงที่ค้าขายอยู่ในตลาด เวลานั้นซื้อขายนิยมให้เงินแถบหรือรูปี ยังมีผู้หญิงนั่งค้าสตางค์แดงคอยรับแลกเงินแถบ เงินบาทเป็นสตางค์ 


หญิงสาวที่เป็นทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่างก็มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสด สะอาดเรียบร้อย มวยผมปักดอกกุหลาบสีต่างๆ ตลาดในสมัยนั้นเป็นที่ว่างล้อมรอบไปด้วยห้องแถวไม้ แม่ค้าต่างก็นั่งเรียงรายขายอาหารและผลไม้ ทั้งผักนานาชนิด และต่างก็มีร่มคันใหญ่บังแดด หญิงสูงอายุส่วนมากสูบบุหรี่มวนด้วยใบตองมวนใหญ่ เมื่อตลาดปิดก็กลับเป็นที่ว่างเปล่า นับได้ว่าเป็นตลาดที่นั่งขายกับพื้นดิน เมื่อลุงนั่งมองดูชาวบ้านจ่ายตลาดก็เห็นว่า ทุกคนมีจักรยานเป็นพาหนะ ต่างก็พิงไว้หน้าตลาด 


เวลานั้นวัฒนธรรมและศีลธรรมยังสูง จึงไม่ปรากฏว่าจักรยานหาย เพราะไม่มีขโมยลัก ผู้ไปตลาดก็มีกระเปี๊ยด ภาชนะสานคล้ายกระบุง ป่องกลางมีเชือกสำหรับสะพาย แทนกระจาดที่คนกลางชอบกระเดียดไปจ่ายตลาด ทันใดนั้นสายตาของลุงก็เหลือบไปเห็นหญิงสาววัยรุ่นผู้หนึ่งซึ่งมาจ่ายตลาดเข้า พอเห็นหน้าหญิงผู้นั้นเท่านั้น ใจของลุงก็หวิวขึ้นมาทันที ความรู้สึกคล้ายเคยเห็นเคยรู้จัก ในชีวิตเหมือนจะเคยฝันเห็นมาก่อน ดูหน้าเธอจิ้มลิ้มผิวพรรณผุดผ่อง คิ้ว ตา หู จมูก ปาก ดูช่างรับกันหมดทั้งใบหน้า งามสมส่วนอะไรเช่นนี้ 


ลุงไม่เคยเห็นหญิงสาวที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนจึงทำให้ลุงตะลึงมอง เมื่อเธอเดินผ่านมาสบสายตากับลุงเธอก็สะดุ้ง เห็นจะเป็นเพราะลุงจ้องหน้าเธออย่างจังงัง จึงทำให้เธออายจนแก้มแดง ชายตามองดูลุงแวบเดียวก็ผ่านไป ลุงมองตามไปเหมือนต้องมนต์สะกด ต่อมาเมื่อเพื่อนจับแขนกระซิบเย้าว่า “คงจะชอบใจมากซินะ จึงจ้องเอา” ลุงรู้สึกตัวชักละอายใจขึ้นมา จึงพูดแก้เก้อไปว่า “เธอสวยจริงๆ ผมยังไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยหยดย้อยเช่นนี้มาก่อน กิริยาท่าทางดูช่างน่ารักไปเสียทุกอย่าง ซ้ำที่มวยผมยังเสียบดอกกุหลาบสีชมพู ดูรับกับใบหน้างามของเธอเหลือเกิน ทำยังไงผมจะได้รู้จักกับเธอนะ คุณรู้ไหมว่าเธอชื่ออะไร อยู่ที่ไหน” 


เพื่อนผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมมีความรู้ไม่มากไปกว่าคุณ ผมเคยมานั่งดื่มกาแฟเช้าๆ ที่นี่นานๆ ครั้ง แต่ไม่เคยเห็นเธอมาก่อน คุณนับว่าเป็นผู้โชคดีพอมาถึงก็ได้พบหญิงงามหยดย้อยเช่นนี้ ถ้าคุณพอใจเธอจริงๆ จะตามไปบ้านเธอ ทำความรู้จักก็ได้” 


ลุงได้ยินเช่นนั้นก็นึกอายและกระดาก เพราะว่าเพิ่งมาถึง แต่พอเห็นหญิงสาวสวยก็เกิดจิตใจปั่นป่วนแล้ว ทั้งนึกอายเพื่อนที่อ่านใจออก ใจจริงนั้นลุงอยากเดินตามเธอไปทุกหนทุกแห่งที่มีเธอ แต่ความเป็นหนุ่มยังไม่เคยมีความรักมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก แม้จะพูดเพียงคำว่ารักก็กระดากอายเสียแล้ว ฉะนั้นจึงแกล้งไถลพูดกับเพื่อนว่า “ผมไม่กล้าตามเธอไปหรอก มันน่าเกลียด เขาจะมองเราไปในแง่พวกประตูดิน มันกระดากใจพิกล ผมคิดว่าเราควรมาที่ตลาดบ่อยครั้งเข้า ก็คงรู้จักกับเธอสักวันหนึ่ง” 


เพื่อนหัวเราะแล้วพูดว่า “จะนึกรักผู้หญิงแต่อายไม่กล้า ที่ภาคเหนือนี่เขามีวัฒนธรรมสูง ไม่หวงลูกสาวเหมือนภาคกลาง และไม่ค่อยกักลูกสาวเหมือนบ้านเรา” 


ลุงยังแข็งใจพูดต่อไปว่า “ผมไม่กล้าตามไปหรอก คนอื่นเขาเห็นมันไม่น่าดู ผมอายเขา” นายแจ้งหัวเราะในกิริยางกๆ เงิ่นๆ ของลุงซึ่งหน้าแดงด้วยความอาย เพราะเพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่ม ทางภาคกลางสมัยนั้นถ้าไปทำเจ้าชู้กับลูกสาวใคร ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายตีนมาก่อน ก็มีหวังโดนตะพดจากพ่อของผู้หญิงล้มลุกคลุกคลานเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ทันจะพูดจาฝากรักฝากใคร่ก็ต้องพาร่างที่บวมช้ำกลับมาบ้าน 


ถ้าขืนเอะอะโวยวายไป ก็คงจะโดนข้อหาว่าบุกรุกเข้าไปในบ้านทำอนาจาร เท่าที่ลุงรู้ๆ ก็ทำให้ชักจะกลัวๆ และเคยเห็นพวกผู้หญิงส่วนมากที่ชอบทำมือหงิกๆ งอๆ คล้ายเป็นโรคเรื้อน ยกขึ้นบังหน้าให้ดูกับพวกเจ้าชู้ที่เดินตามเกี้ยวเธอ บางคนยังไม่พอใจก็ยกฝ่าเท้าซึ่งไม่เคยใส่รองเท้ามาก่อนชูขึ้นตรงหน้าพวกเจ้าชู้แล้วก็วิ่งเข้าบ้าน คล้ายจะเตือนว่าส่องกระจกดูก่อนเถิดแล้วค่อยเกี้ยวฉัน 


ฉะนั้นด้วยความเจ็บใจจึงทำเสน่ห์น้ำมันพรายมาแกล้งบ้าง ลุงจึงขยาดกลัวจะไปพบแม่สาวก๋ากั่นก็จะเข้าตาจน ฉะนั้นแม้ว่าลุงจะมีความรักในหญิงสาวผู้นี้เพียงไรก็อัดไว้ในใจ เพราะคิดว่าตัวเองเพิ่งมาถึงภาคเหนือใหม่ๆ ยังไม่มีใครรู้จักหัวนอนปลายเท้า หากเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ต้องเสียถึงเจ้าของบ้านที่ให้พักด้วย ตกลงเราอยู่จนตลาดวายแล้วก็กลับ 


วันนั้นลุงนึกเห็นแต่หน้าหญิงสาวผู้นั้นตลอดเวลา เห็นจะเป็นเพราะความรักครั้งแรกจึงรู้สึกว่ามีความหลงใหลรุนแรง นี่แหละชีวิตแรกรักของลุง ไม่ทราบว่าคนอื่นเมื่อเวลาหนุ่มๆ แรงรักจะเหมือนลุงหรือไม่ ทำให้นึกว่ารูปของหญิง เสียงของหญิง กลิ่นของหญิง กิริยาท่าทางของหญิง ทำให้ชายหลงใหลบ้าคลั่งได้ 


ในสมัยนั้นปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีเทศาภิบาลมณฑลพายัพ และมีเจ้าเมือง และมีเจ้าหลวงเชียงใหม่ เวลานั้นเจ้าแก้วเนาวรัตน์เป็นผู้ปกครองนครเชียงใหม่ ต่อมาเจ้าอินทรวโรรสสุริยวงศ์ ลุงเคยพบเจ้าหลวงหลายครั้งนั่งรถเนเบียร์ (เป็นรถอังกฤษชั้นดีในสมัยนั้น) เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่โปรดสุนัขอัลเซเชี่ยน จะไปไหนก็มีสุนัขอัลเซเชี่ยนนั่งรถไปด้วยหลายครั้ง 


วันหนึ่งมีงานทำบุญที่วัดพระธาตุดอยสุเทพปอยหลวง นายแจ้งได้ชวนลุงให้ขึ้นไปเที่ยวบนดอย ความจริงลุงก็อยากไปอยู่ เพราะอยากจะอธิษฐานขออำนาจให้ดลใจได้พบหญิงที่รักตามความประสงค์ เพราะเขาว่าพระพุทธรูปที่วัดบนดอยสุเทพศักดิ์สิทธิ์มาก ตกลงลุงกับเพื่อนก็ตื่นแต่เช้า อากาศยังขมุกขมัว ขี่จักรยานตรงไปยังตีนดอย การขึ้นไปบนดอยสุเทพในสมัยนั้นเราต้องเดินขึ้นไป เพราะยังไม่มีทางอื่น เมื่อถึงตีนดอยเราก็ฝากจักรยานไว้ เพราะมีที่รับจ้างฝากรถ 


มีชาวเมืองไม่น้อยที่ตั้งใจขึ้นไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพ มีทั้งหนุ่มสาวผู้เฒ่าผู้แก่และเด็ก คนแก่ที่เดินขึ้นไม่ไหวก็มีคนรับจ้างหาม โดยใช้เก้าอี้หวายถักผูกติดกับคานไม้ก็กลายเป็นคานหาม ค่าหามขึ้นไปก็เป็นเงินแถบ (รูปี) ลุงได้พบกับแม่เลี้ยงผู้เฒ่าที่มีจิตศรัทธาในการกุศล แกจ้างคนหามขึ้นไป ขณะที่ขึ้นไปแกก็อธิบายให้ผู้อื่นฟังตลอดทาง ถึงประวัติตำบลที่ผ่านต่างๆ ให้ทราบอย่างเพลิดเพลิน ทำให้รู้สึกเหนื่อยน้อยลงบ้าง แม้บางแห่งจะเป็นที่สูงชัน บางครั้งเราก็เห็นช้างที่ขนของขึ้นไป ช้างนั้นแม้ตัวจะใหญ่โต แต่เวลาเดินนั้นไม้ได้ยินเสียงฝีเท้าเลย นอกจากเสียงกระบอกไม้ไผ่สองชั้นที่ผูกติดที่คอดังเสียงป๊อกแป๊กแทนกระดิ่งที่ผูกคอวัวเท่านั้น 


วันนั้นลุงรู้สึกสนุกสนานมาก แต่ใจนั้นคิดถึงแต่หญิงสาวผู้ได้พบในตลาดหลวงไม่รู้วาย นึกว่าหากได้เธอร่วมขึ้นมาเที่ยวบนดอยด้วยกัน ลุงคงจะมีความสุขที่สุด ป่าเขา ต้นไม้ ดอกไม้และลั่นทมส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ทั้งหินผาลำธารน้ำไหลดึงดูดให้เรามีความสุขตื่นเต้น ทำให้จิตใจเพ้อฝันถึงความรักที่หวานชื่น 


วันนั้นตลอดเวลาเพลิดเพลินอยู่บนดอย เวลาแดดร่มลมเย็นบนดอยสุเทพ มีสาวๆ ข้าหลวงของราชชายาเธอเจ้าฟ้าดารารัศมีมาฟ้อนรำถวายเป็นพุทธบูชา ถวายแก่องค์พระบรมธาตุดอยสุเทพ ลุงได้เห็นสาวๆ แรกรุ่นดรุณีทุกคนแต่งชุดสีชมพูสวยงามเป็นจำนวนมาก ทั้งรองทั้งฟ้อนรำด้วยท่าทางอ่อนช้อยงดงาม ประกอบเสียงดนตรีมโหรีพื้นเมืองที่เป็นจังหวะ เนื้อเพลงที่ร้องเป็นประวัติของพระธาตุบนดอยสุเทพ เมื่อเย็นลงอากาศบนดอยสุเทพก็ยิ่งเยือกเย็นขึ้น พระอาทิตย์ซึ่งกำลังซึ่งกำลังจะลับเหลี่ยมเขาทอแสงส่องต้องพระเจดีย์ ซึ่งบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ดูเป็นประกายทองเหลืองอร่าม แวดล้อมไปด้วยดงไม้ป่าใหญ่น้อยห่างออกไปได้ยินเสียงจักจั่นเรไรส่งเสียงร้องสนั่นป่า 


หากมิใช่ยามมีงานปอยหลวงก็คงมีแต่ความเงียบสงบวังเวง มีแต่เสียงนกกาสัตว์ป่าและจักจั่นเรไรเท่านั้น ที่ส่งเสียงร้องตามธรรมชาติภาษของมัน เราดูสาวๆ ชาววังฟ้อนรำอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลากลับ การเดินทางกลับลงมาเชิงเขาในยามค่ำคืนนั้นไม่ค่อยมีใครเขาทำกัน นอกจากจะเป็นหมู่มาก แม้ในยามที่มีแสงจันทร์ส่องสว่างอยู่ก็ตาม เพราะว่านอกจากสัตว์ร้ายแล้วหนทางที่ขึ้นลงยังแสนจะลำบาก


ในเวลาที่ลุงขึ้นไปอยู่เชียงใหม่ในเวลานั้น ยังมีสัตว์ป่าหลงเข้ามาในเมือง เช่นมีเก้ง กวาง หลงเข้าไปในหมู่บ้านเชิงดอยเสมอ ขณะที่ลุงอยู่ก็ยังมีเก้งหลงเข้าไปในกรมทหาร นับว่าเวลานั้นมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก ฉะนั้นการเดินทางลงจากเขาตอนกลางคืนย่อมจะไม่ปลอดภัย เราจึงตกลงอยู่บนวัดพระธาตุตลอดคืน และในเย็นวันนั้นลุงได้รู้ซึ้ง ถึงน้ำใจอันสูงส่งของชาวเหนือซึ่งลุงจะลืมเสียมิได้ คือ 


เนื่องจากอากาศหนาวเราทั้งสองคนจึงเดินขึ้นลงบันไดนาค ไปสู่พระธาตุเพื่อบรรเทาความหนาว ได้มีชาวบ้านชาวเมืองขึ้นไปค้างเพื่อนมัสการพระธาตุเป็นจำนวนมากด้วยกัน ต่างก็เตรียมอาหารการกินรวมทั้งเครื่องใช้แรมคืนเพื่อพักผ่อนตามระเบียง บางกลุ่มก็มาทั้งครอบครัว เมื่อเห็นลุงกับเพื่อนเดินผ่านไป ต่างก็ร้องเชิญให้ทนอาหารด้วยอัธยาศัยอันดีทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย นับได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอันดีงาม ลุงตื้นตันใจนึกในใจว่า 


ถ้าหากคนมีจิตใจสูงเช่นนี้คงจะไม่มีใครอดตายแน่ และก็ได้ทราบว่าผู้มีจิตใจเป็นกุศลเหล่านี้บางคนก็มาจากจังหวัดไกล เช่น ลำปาง ลำพูน เชียงราย แพร่ ตกลงลุงกับเพื่อนก็เข้าไปนั่งสนทนากับพ่อเฒ่าผู้หนึ่งซึ่งมากับแม่เฒ่าผู้เป็นน้องสาว จะได้อาศัยผิงไฟกันลมหนาวยามดึก ทั้งสองต้อนรับเราโดยให้ความสนิทสนมอย่างลูกหลาน และก็น่าประหลาดใจมาก ลุงสามารถเข้าใจคำเมืองได้อย่างถูกต้อง และสามารถพูดได้อย่างรวดเร็ว เราสนทนากันอย่างสนิทสนม 


พ่อเฒ่าผู้นั้นมีนามว่าพ่อเฒ่าหนานหมู แต่ลุงกับเพื่อนเรียกแกว่า “ลุงหนาน” ส่วนแม่เฒ่าผู้น้องชื่อว่า “คำแปง” อาหารเย็นของเราในวันนั้นก็คือข้าวเหนียวกับชิ้นหมูของลุงหนาน รู้สึกว่าเรากินได้มาก รู้สึกขอบคุณในใจซึ่งความอารีของพ่อเฒ่าหนานหมูและแม่เฒ่าคำแปงผู้น้องสาวยิ่งนัก 


เราได้สนทนากันอย่างสนุกสนาน ลุงหนานหมูได้เล่าประวัติของพระธาตุดอยสุเทพให้ฟัง ตั้งแต่เริ่มเสี่ยงช้างซึ่งบนหลังบรรทุกที่ประดิษฐานพระบรมธาตุอยู่ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ได้เสี่ยงทายว่า หากช้างตัวนี้หยุดในที่แห่งใดก็จะสร้างวัดไว้ ณ ที่นั้น และบังเอิญช้างก็มาหยุดอยู่บนดอยสุเทพ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยนั้น จึงสร้างวัดไว้บนดอยสุเทพจนบัดนี้ คืนนั้นเราสองคนได้ค้างคืนบนดอยกับพ่อเฒ่าและแม่เฒ่าสองพี่น้องผู้อารี พ่อเฒ่าและแม่เฒ่าได้บอกว่า แกอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ และชักชวนให้เราไปเที่ยวบ้าน โดยบอกตำบลที่อยู่ให้อย่างชัดเจน 


หลังจากวันนมัสการพระบรมธาตุบนดอยสุเทพแล้ว ลุงก็พยายามไปที่ตลาดหลวง เพื่อคอยพบหญิงสาวผู้ไม่รู้จักนาม ที่ร้านกาแฟในกลางตลาดหลายเช้าติดกัน บางครั้งลุงก็ไปคนเดียว บางครั้งลุงก็ชวนแจ้งไปด้วย แต่ทุกครั้งก็ผิดหวัง ทำให้ลุงนึกว่าหมดหวัง คิดว่าเธอคงจะไม่ได้อยู่ในเชียงใหม่ เพราะถ้าอยู่ในตัวเมืองเธอคงจะต้องมาจ่ายตลาดแน่นอน ลุงได้พยายามเดินเที่ยวหาในเมืองแทบทุกวัน ทั้งตลาดนอกตลาดในเมืองเชียงใหม่ไปจนทั่วทุกตลาด ประตูช้างเผือก สันป่าข่อย และแห่งอื่นๆ 


แต่แล้วก็นึกถึงพ่อเฒ่าและแม่เฒ่าสองพี่น้องได้ จึงไปหาตามตำบลที่ให้ไว้ ความรักความต้องการในวัยหนุ่มนับว่ามีอานุภาพใหญ่ยิ่ง พอที่จะทำให้คนเราสามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพียงเพื่อจะให้ได้พบกับหญิงที่ตนรักเท่านั้น ลุงก็เช่นเดียวกัน ไม่ช้าลุงก็ได้พบบ้านพ่อเฒ่าแม่เฒ่าตามที่แกบอกไว้ 


เมื่อไปถึงบ้านลุงหนานหมู แกกำลังนอนอ่านหนังสือวรรณคดีภาคเหนือ เรื่องพระลออยู่บนบ้าน แกอ่านเป็นทำนองไพเราะจับใจมาก ฟังแล้วทำให้ตื่นเต้นขนลุก ทั้งที่จับต้นเหตุไม่ได้ ตัวหนังสือก็เป็นตัวอักษรภาคเหนือ ลุงยืนฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ร้องเรียกแก เมื่อได้ยินแกก็ลุกขึ้นดู พอเห็นเป็นใครแกก็ดีใจ รีบจัดแจงหาเสื่อปูแล้วเชิญขึ้นบนเรือน บ้านลุงหนานหมูก็เหมือนกับบ้านทางภาคเหนือทั่วๆ ไปเป็นส่วนมาก มีบ่อน้ำในบ้านกว้างพอสมควร มีลำไยและต้นมะปรางขึ้นรอบบ้าน รั้วบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะ หน้าบ้านปลูกต้นกุหลาบชนิดหลากสี มีทั้งสีเหลืองนวล สีชมพูและสีแดงเข้ม ดอกโตเกือบจะเท่าที่ปลูกไว้บนยอดดอยสุเทพ พวกดอกเล็กๆ บางชนิดมีกลิ่นหอมเย็นๆ ลุงร้องบอกลุงหนานหมูว่า “แหม ลุงหนานปลูกต้นกุหลาบออกดอกโตดีจริงๆ ผมชอบมาก” 


ลุงหนานหัวเราะหึๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ผมไม่ได้ปลูกเองหรอก เป็นของหลานสาวเขาปลูกเอาไว้น่ะคุณ แต่วันนี้ไม่อยู่บ้านทั้งแม่เฒ่าและบัวแก้วออกจากบ้านแต่เช้าไปเยี่ยมญาติที่บ้านเชิงดอยสะเก็ด เย็นๆ เห็นจะกลับ” 


ลุงจึงพูดว่า “แหม ลุงหนานอ่านหนังสือได้เพราะมาก ผมมายืนฟังเป็นนานแล้ว ยังเสียดายที่ลุงหยุดอ่าน” 


ลุงหนานหมูยิ้มแล้วชี้ไปที่เด็กชายอายุประมาณ ๘ ขวบ ซึ่งยังนอนกลิ้งอยู่บนเรือนพลางพูดว่า “อ้ายจั่นมันอยากฟัง มันให้ลุงอ่านให้มันฟัง คุณฟังคำเมืองออกเหมือนกันหรือ” 


ลุงตอบว่า “เดี๋ยวนี้ผมฟังคำเมืองออกบ้างแล้ว จึงรู้ว่าเพราะมาก” 


เสียงลุงหนานหมูหัวเราะในลำคอ “เพลงซอเมืองพระลอนี้เขาเอาทำนองไปใส่เนื้อใหม่ เพื่อทำเป็นเพลงในงานต้อนรับเสด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ ซึ่งเสด็จขึ้นมาภาคเหนือ บัวแก้วเขาร้องได้ดี” 


ลุงบอกว่า “แหม อยากฟังเสียงร้องเหลือเกิน เรื่องเพลงผมสนใจมาก” 


เมื่อพูดแล้วก็ทำให้ลุงอดคิดไม่ได้ว่าบัวแก้วที่ลุงหนานเอ่ยชื่อนี้ อาจจะเป็นหญิงสาวที่เคยพบที่ตลาดและลุงใฝ่ฝันถึง เป็นไปได้ไหมหนอจึงแกล้งถามลุงหนานว่า “บัวแก้วนี่เป็นลูกสาวลุงหนานหรือ” ลุงหนานหัวเราะแล้วพูดว่า “เปล่า ไม่ใช่หรอกคุณบัวแก้วเป็นหลานสาว” ลุงชี้ไปที่เด็กถามว่า “นี่คงเป็นบุตรบัวแก้วใช่ไหมลุง” ลุงหนานหัวเราะบอกว่า “ไม่ใช่ นี่เป็นเด็กหลังบ้าน บัวแก้วยังเป็นสาวเพียงอายุ ๑๗ ปี” เมื่อได้ยินดังนั้นก็ใจเต้น นึกในใจว่าคงใช่แม่บัวแก้วที่ได้พบกันในตลาด เลยรู้สึกละอายที่คิดฟุ้งซ่านมากไป จึงพูดว่า “ผมอยากให้ลุงหนานอ่านหนังสือเรื่องพระลอต่อ ผมอยากฟัง มันเพราะจริงๆ ฟังแล้วเหมือนตัวผมเข้าไปอยู่ในยุคสมัยนั้น เหมือนความฝัน ผมฝังใจในเรื่องพระลอจริงๆ ตั้งแต่ได้ยินเสียงลุงหนานหมูก่อนเข้าบ้านแต่ไกลแล้ว” 


ลุงหนานหมูได้แต่หัวเราะพูดว่า “คุณยอคนแก่มากไปแล้ว ถ้าคุณได้ยินเสียงสาวก็จะลืมเสียงลุง” ว่าแล้วก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านตามทำนองภาคเหนือต่อไป วันนั้นลุงได้เพลิดเพลินอยู่กับลุงหนานหมูกับเด็กจั่นซึ่งผู้มีรสนิยมตรงกันตลอดเวลา ลุงอยู่บ้านลุงหนานหมูจนเย็น ตั้งใจว่าจะดูแม่บัวแก้วว่าจะเป็นคนเดียวกับหญิงสาวที่พบในตลาดหรือไม่ ทั้งๆ ที่อดกระดากใจไม่ได้ ลุงหนานได้กรุณาเลี้ยงอาหารพื้นเมืองด้วยใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมอันสูงของชาวเหนือทั่วๆ ไป 


ครั้นเห็นเย็นมากแล้วก็ตัดใจรีบลาลุงหนานกลับบ้าน ทั้งลุงหนานและเด็กชายจั่นได้สนิทสนมเป็นกันเองกับลุง แล้วจึงชักชวนให้มาเที่ยวอีก บัดนี้ลุงรู้ตัวว่าออกจะกล้าที่ไปไหนมาไหนโดยถีบจักรยานคนเดียว เพราะจะชวนแจ้งก็เกรงใจเจ้าของบ้านที่พัก ทั้งแจ้งก็มีงานที่จะต้องทำ และในเมืองเชียงใหม่ก็ล้วนแต่ผู้มีศีลธรรมจิตใจโอบอ้อมอารีย์ คนทั่วไปมีแต่ความสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยน ไม่มีคนอันธพาล ไม่เกะกะ แม้แต่จะไปเที่ยวดึกดื่นก็มีแต่ความสงบ จึงเป็นเมืองที่น่าอยู่ 


อันความรักในโลกนี้เห็นจะไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า เมื่อหนุ่มสาวได้ติดเนื้อต้องใจหลงใหลใฝ่ฝันหาเมื่อยามแรกรัก วันรุ่งขึ้นลุงจึงมีจิตใจจดจ่ออยากจะไปบ้านลุงหนานหมูอีก อยากจะรู้จักว่าหญิงสาวที่ชื่อ“บัวแก้ว” นั้นจะเป็นหญิงคนเดียวกับที่ลุงใฝ่ฝันถึงตลอดเวลาหรือไม่ 


ฉะนั้นลุงจึงไม่รอช้า ด้วยความร้อนใจลุงรีบถีบจักรยานไปบ้านลุงหนาน ลุงนึกอยากจะให้แม่บัวแก้วหลานสาวของลุงหนานหมูนั้น คือนางในดวงใจของลุงเหลือเกิน ลุงจะได้ไม่ต้องไปเที่ยวตามหาเธออีก เมื่อมาจวนถึงบ้านลุงหนาน จิตใจก็ตื่นเต้นไม่เป็นปรกติ นึกว่าถ้าเธอเป็นคนเดียวกับสาวที่ใฝ่ฝันถึงจะทำอย่างไร จะพูดกับเธออย่างไร ในใจมันวุ่นวาย เพราะเกิดมายังไม่เคยพูดกับหญิงสาวที่ตัวชอบและต้องใจเลย ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี 


แต่เมื่อถีบรถเข้าไปในประตูบ้านลุงหนานก็ได้ยินเสียงแม่เฒ่าคำแปงพูดว่า “แน่คุณมาแล้ว” แกจัดแจงร้องเชิญมาจากบันไดบ้าน ลุงไม่รอช้า นำรถถีบเข้าไปพิงไว้ใต้ถุนบ้านซึ่งปลูกสูง เป็นธรรมดาของบ้านชาวเหนือทั่วไปเป็นส่วนมาก ทำความเคารพเจ้าของบ้านแล้วขึ้นบนเรือน แม่เฒ่าคำแปงจัดแจงปูเสื่อยกคนโทดินเผาใส่น้ำมาตั้งไว้ และจัดเชี่ยนหมากที่ใส่เมี่ยงและเกลือจัดห่อเป็นคำๆ ลุงนั่งลงที่เสื่อแล้วถามลุงหนานหมู ก็ทราบจากแม่เฒ่าว่าแกไปคุยกับพระที่วัด 


ลุงเลยบอกว่า เมื่อวานนี้ได้มาคุยกับลุงหนาน และได้ฟังลุงหนานอ่านหนังสือทำนองเพราะดีมาก แม่เฒ่ายิ้มอย่างใจดีแล้วพูดว่า “พี่หนานบอกป้าเหมือนกันว่าคุณมา แต่เมื่อวานนี้ป้าไปตีนดอยสะเก็ด กลับมาจนเย็นคุณกลับไปก่อนแล้ว” 


ลุงส่ายตามองหาบัวแก้วหลานสาวแม่เฒ่าซึ่งไม่เห็นอยู่ในที่นั้นด้วย และพูดว่า “ผมชอบกุหลาบที่ปลูกไว้ ออกดอกงามๆ เหลือเกิน ที่กรุงเทพฯ ดอกเล็กไม่สวยเหมือนอย่างนี้” 


แม่เฒ่าเหมือนจะรู้ใจจึงพูดว่า “บัวแก้วเขาเป็นคนปลูก เขาเป็นคนขยัน นี่ก็คงไปคุยกับบัวคำเพื่อนรักเพื่อนเกลอที่หลังบ้าน ประเดี๋ยวป้าจะเรียกมาให้รู้จักและคุยด้วย” 


ลุงเกิดกระดากอายขึ้น จึงบอกว่า “ไม่ต้องหรอกจ๊ะป้าคำแปง ผมคุยกับป้าก็ได้” 


เสียงแม่เฒ่าคำแปงหัวเราะพูดว่า “คุยกับคนเฒ่าคนแก่จะไปสนุกอะไรล่ะ ประเดี๋ยวป้าจะเรียกบัวแก้วมา” 


พูดแล้วแม่เฒ่าคำแปงก็ตะโกนไปทางหลังบ้าน เรียกชื่อบัวแก้วสองสามคำ ลุงก็คอยชะเง้อด้วยความตื่นเต้นใจ นึกภาวนาขอให้เป็นสาวในดวงใจที่ได้พบในตลาดทีเถิดเจ้าประคุณ ไม่ช้าก็มีหญิงสาวรูปร่างเอวเล็กเอวบาง ผิวเนื้อขาวเหลือง หน้ารูปไข่ ลุงมองดูแต่ไกลแล้วก็ต้องตะลึง คิดว่าบัวแก้วก็คือหญิงที่พบในตลาดเช้าวันนั้น เมื่อเธอเข้ามาใกล้ก็เห็นดวงหน้าอันมีเสน่ห์ ยิ้มระรื่นของเธอซึ่งยกมือขึ้นทำความเคารพพลางพูดว่า “ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักคุณ” เมื่อลุงรับไหว้เธอแล้วลุงก็จ้องมองดู พลางพูดตอบว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติเหมือนกันที่ได้รู้จักคุณบัวแก้ว” 


แล้วก็พิจารณาดูเธออีก ช่างมีรูปร่างคล้ายกับหญิงที่พบในตลาดตอนเช้านั้นเหลือเกิน มองดูไกลๆ นึกว่าใช่แล้ว เมื่อเข้ามาใกล้จึงรู้ว่าไม่ใช่ แต่ก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่า ใครจะงามกว่าใคร ในชีวิตเมื่อเริ่มแตกเนื้อหนุ่มก็เพิ่งจะพบหญิงสาวสวยถูกอกถูกใจมากในครั้งนี้ แต่มันช่างแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้ ที่ลุงมาพบผู้หญิงที่สวยที่สุดสองคนในระยะไม่ห่างกัน ลุงไม่ทราบว่าจะพูดอะไร นึกอะไรได้ก็พูดขึ้นว่า “ทีแรกผมนึกว่าคงจะเคยเห็นคุณมาก่อนแล้ว แต่เมื่อเข้ามาใกล้จึงรู้ว่าไม่ใช่” 


บัวแก้วพูดเสียงอ่อนหวานแกมเย้าว่า 


“คงเสียใจมากนะคะ ที่ผิดหวังที่ดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น” 


ลุงตอบไปโดยเร็วและนึกตำหนิตัวเองว่าไม่ควรพูด จึงบอกว่า “โอ เปล่าหรอกครับ รู้สึกว่าคุณจะสวยงามไม่แพ้คนที่ผมเห็นมาแล้ว ผมพูดตามจริงนะครับ” 


เธอยิ้มให้ความสนิทสนมเหมือนรู้จักกันมาแรมปี แล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณค่ะที่ชมดิฉัน แต่คนชาวเหนือก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อคนง่ายๆ นะคะ คุณจะบอกได้ไหมคะว่าคุณพบหญิงที่คุณบอกเมื่อกี้ เห็นเธอที่ไหนและคุณเคยพูดอะไรกับเธอบ้างรึเปล่า” หญิงสาวถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ 


ลุงจึงบอกไปว่า “ผมพบเธอในเช้าวันหนึ่งที่ตลาดหลวง เธอไปจ่ายกับข้าว แต่แล้วตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่เคยพบเธออีกเลย ผมพยายามเที่ยวตามหาก็ไม่พบ” 


หญิงสาวหัวเราะคิกๆ อย่างขบขัน แล้วพูดว่า “คุณเป็นคนซื่อมาก ดิฉันเชื่อว่าเป็นความจริงค่ะ และคุณคงจะชอบเธอมากจริงไหมคะ” เมื่อเธอพูดแล้วก็เอียงคอทำท่าล้อ ทำให้ลุงหน้าร้อนด้วยความรู้สึกกระดากอาย ที่จะต้องบอกว่าชอบ แต่คำนี้ยังอ่อนกว่าคำว่ารักหน่อย แต่เช่นนั้นลุงก็ยังตะกุกตะกักพูดไม่ออก จนหญิงสาวเตือนขึ้นว่า “บอกซิคะว่าคุณชอบเธอหรือเปล่า บางทีดิฉันจะช่วยคุณได้บ้าง ถ้าคุณชอบเธอจริงๆ” 


เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น ทำให้ลุงกล้าขึ้น จึงพูดออกไปว่า “ครับ ผมชอบเธอมาก ดูเธอเป็นคนดีน่ารัก ถูกอกถูกใจผมไปทุกอย่าง” การสนทนากันในวันนั้น เธอทำให้ลุงกล้าขึ้นมาก แม้บัวแก้วจะสวยอย่างหยาดฟ้ามาดิน แต่ลุงก็อดนึกถึงหญิงสาวที่พบในตลาดวันนั้นไม่ได้ แม้กระนั้นใจก็ยังเข้าข้างตัวเองว่า หากไม่มีโอกาสพบเธอผู้นั้นแล้ว บัวแก้วก็ควรเป็นนางในดวงใจของลุง 


วันนั้น เอ ทำให้ลุงมีปัญหามาขบคิดหลายข้อ ดูเหมือนจะพูดแย้มๆ ไว้ว่าเธอได้รู้จักนางในดวงใจของลุง ตอนหนึ่งเธอถามว่าเวลานั้นลุงอยู่ในร้านกาแฟกลางตลาด และหญิงสาวผู้นั้นแต่งกายด้วยสีนั้นใช่ไหม คำถามเหล่านั้นทำให้ลุงต้องสะดุ้งคล้ายกับว่า เธอเป็นเงาตามตัวจึงเห็นเหตุการณ์ได้แม่นยำเช่นนี้ ทำให้ลุงมองเห็นความหวังลางๆ วันนั้นเมื่อกลับที่พักแล้วรู้สึกสบายใจขึ้นมาก 


ต่อจากนั้นลุงก็ไปหาบัวแก้วที่บ้านเสมอมา ลุงได้พยายามถามถึงหญิงสาวในดวงใจ แต่บัวแก้วผลัดวันเมื่อนั้นเมื่อนี้คงจะได้พบสักวัน ลุงมีความอดทน เพราะยังมีความสุขอยู่ทุกครั้งที่ไปบ้านสาวบัวแก้ว ทั้งลุงหนานหมูและแม่เฒ่าคำแปงน้องสาวก็หลบไป เปิดโอกาสให้เรานั่งสนทนากันสองต่อสอง ไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน วันหนึ่งสาวบัวแก้วชวนลุงว่าคืนนี้เดือนแจ้งไปดูลิเกที่ในโรงทหารกันไหมคะ 


ความจริงละครลิเกลุงก็ไม่ค่อยจะชอบไม่สนใจนัก ถ้าเป็นกรุงเทพฯ พวกเพื่อนๆ มันรู้ว่าลุงไปดูลิเก มันคงหัวเราะเยาะหรือล้อหรือไม่มันคงว่าลุงสติไม่ดีเป็นแน่ แต่ผู้หญิงสาวสวยอย่างบัวแก้วชวน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ ความจริงแม่เฒ่าคำแปงแกชอบดู และลิเกก็เล่นอยู่ในกรมทหาร พวกเล่นก็เป็นพวกนายสิบและพลทหาร ตกลงคืนนั้นเราก็ไปดูลิเกที่โรงทหารตามที่นัดไว้ 


ในยามค่ำคืนเดือนหงาย และมีหญิงสาวสวยคอยชี้ชวนชมโน่นชมนี่อยู่นั้น นับว่าเป็นความสุขที่หายากมาก แม้เราจะไม่ได้เป็นคู่รักคู่หมายกันก็ตาม แต่ความสวยของมันก็ทำให้จิตใจลุงสบาย เธอชี้ให้ลุงชมเงาดวงจันทร์ที่อยู่ในลำน้ำปิง เมื่อเวลาเดินข้ามสะพานชี้ให้ดูโรงสวดของพวกคริสเตียนขาวโพลน อยู่ท่ามกลางแสงเดือน ลุงรู้สึกว่ามีความสวยอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเราเข้าไปถึงโรงทหาร แต่แล้วสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน ทำให้ลุงตื่นเต้นตะลึงงง 


มันจะเป็นการบังเอิญหรือแผนการก็เหลือเดา ลุงได้พบนางในดวงใจที่โรงลิเก บัวแก้วตรงเข้าไปทักทายปราศรัยอย่างสนิทสนม ลุงเห็นเด็กชายจั่นมากับหญิงสาวผู้นั้นด้วย เอ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าก้านมะลิและนุ่งซิ่นสีเดียวกัน เมื่อเข้ากับแสงไฟทำให้เธองามเด่นยิ่งขึ้น เมื่อยืนเทียบกันแล้ว รู้สึกว่าจะตัดสินยากว่าใครสวยกว่ากัน บัวแก้วหันมามองทางพลางแนะนำเพื่อนสาวของลุงให้รู้จักว่าเธอชื่อ “บัวคำ” เป็นเพื่อนรักใคร่กันมาก บัวคำยิ้มอย่างอายๆ ทำให้ลุงตัวพองใจพองขึ้นอีกเป็นกอง นึกว่าชีวิตของเราไม่เสียทีที่เกิดมาในโลกนี้ ที่ได้รู้จักสาวสวยถึงสองคน 


ครั้นถามดูว่าเด็กชายจั่นเป็นอะไรกับเธอ ก็ได้คำตอบว่าเป็นหลานเธอ ลูกของพี่สาว คืนนั้นลุงดูลิเกไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจเพราะมัวแต่กระซิบคุยกันอย่างมีความสุข ลิเกที่ออกมาแสดงนั้นแต่งตัวทรงเครื่อง และร้องรำเหมือนลิเกภาคกลางทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากบทเจรจาก็ใช้แทรกคำเมืองลงไปบ้าง ทำให้ตลกขบขันไปทุกตัว 


คืนนั้นลุงมีความรู้สึกเป็นสุข อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิต หัวใจรักย่อมเข้าใจกันด้วยสายตาและกิริยาท่าทาง ความสุขของเราอยู่ตรงที่ต่างก็มีหัวใจตรงกัน พูดกันไม่รู้จักเบื่อ ไม่รู้จักจบสิ้น กิริยาท่าทางทั้งวาจา จะยิ้มจะพูดมันน่ารักไปเสียทุกอย่างถูกอกถูกใจลุงมาก เราต่างเข้าใจความหมายว่ารัก มันช่างเป็นคำที่มีความไพเราะน่าฟัง และนำมาซึ่งความสุขอะไรเช่นนั้น 


คืนนั้นเมื่อลิเกเลิกแล้ว เราต่างก็เดินสนทนากันมาตลอดทาง บัวแก้วและแม่เฒ่าและเด็กชายจั่น เดินถ่วงทิ้งระยะไกลให้ลุงเดินคลอเคลียกับบัวคำ ท่ามกลางแสงเดือนอันสว่างกระจ่างแจ้งมาตามถนนที่เงียบสงัดในยามค่ำคืน ได้ยินเสียงซึงที่พวกหนุ่มไปเที่ยวแอ่วสาวตามบ้าน ดีดซึงเป็นเพลงไพเราะ 


ลุงแหงนดูดวงจันทร์และหันหน้ามองดูหน้าบัวคำ แล้วสูดอากาศกลางสะพานข้ามลำน้ำแม่ปิง (สะพานไม้ซุง) ดูมันช่างมีความสุขจริงๆ เธอเอียงอายพลางหลบสายตาลุงพลางพูดว่า “คุณมองดูอะไรก็ไม่รู้ จ้องเอา จ้องเอา เหมือนเช้าวันที่พบกันที่ตลาดหลวง ทำให้ดิฉันอาย ไม่รู้จะหลบไปที่ไหน” 


ลุงรู้สึกว่าคำพูดของบัวคำนั้นช่างหวานฉ่ำมีเสน่ห์ ฟังไม่รู้จักเบื่อ จึงตอบไปว่า “โธ่ ตั้งแต่พี่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครสวยเท่าน้อง พี่จึงมองดูอย่างตกตะลึงลืมตัว ยกโทษให้พี่ด้วยเถิดน้องสาว” 


เสียงเธอหัวเราะคิกๆ อย่างมีความสุข พลางตอบว่า “คุณพี่ยกย่องน้องเกินไปแล้วล่ะค่ะ น้องคงไม่สวยเหมือนคนเมืองใต้หรอก” 


การสนทนาโต้ตอบกันตามภาษารักท่ามกลางแสงเดือน เป็นสิ่งช่วยเสริมจิตใจของหนุ่มสาวให้สดชื่นยิ่งขึ้น คืนนั้นหลังจากส่งสองสาวทั้งสองแล้ว ลุงก็ตรงมาบ้านพักด้วยหัวใจอันเบิกบานเต็มไปด้วยความสุข คิดว่าเมื่อตกลงกับสาวเรียบร้อยแล้ว ก็จะจดหมายไปทางบ้านที่กรุงเทพฯ แจ้งให้ทราบว่า เราจะจัดงานสู่ขอแต่งงานกันตามประเพณี ยิ่งคิดก็ยิ่งมองเห็นความสุขที่จะได้คู่ครองที่สวยน่ารัก และฉลาด และพูดจาได้อย่างไพเราะ นึกว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิด คืนนั้นลุงนอนฝันถึงแต่ความสุขในอนาคตเท่านั้น 


คืนต่อมาลุงได้ไปที่บ้านบัวแก้ว และสาวบัวคำก็อยู่บ้านบัวแก้วด้วย บางครั้งลุงก็ได้พบกับหนุ่มชาวพื้นเมืองที่มาแอ่วสาว แต่เมื่อเขาเห็นลุงขึ้นไปอยู่บนบ้านก่อน เขาก็จัดแจงลากลับบ้านด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร แสดงถึงจิตใจที่มีวัฒนธรรมสูง และก็มีบางคนที่กลายเป็นเพื่อนของลุงตลอดมา ความรักย่อมเข้าในในรักเป็นธรรมดา และก็มีสิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ซึ่งลุงไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้คือ 


คืนหนึ่งเมื่อสนทนาตามประสาคนรักกับบัวคำ สาวผู้เป็นดวงใจของลุงสองต่อสอง เพราะไม่ทราบว่าบัวแก้วหายไปไหน แล้วก็ได้เล่าถึงว่าลุงจะจดหมายแจ้งข่าวว่า เราจะมีการหมั้นกันเพื่อให้คุณแม่ทางกรุงเทพฯ ทราบ คุณแม่คงจะตกลงด้วยความยินดี และคงจะมาในงานนี้ด้วย ลุงพยายามชี้แจงและฝันถึงความสุขในอนาคต คิดว่าหลังจากแต่งงานแล้ว เราจะเดินทางไปเที่ยวหัวหินและสงขลา ตลอดถึงภูเก็ตและปีนัง ลุงนึกถึงฝันถึงแต่จะท่องเที่ยวดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กับเธออย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต แต่แล้วก็ได้ยินบัวคำพูดขึ้นว่า 


“ขอฟังน้องก่อน ที่คุณพี่ได้คิดการณ์ล่วงหน้า ทุกอย่างก็ได้แสดงถึงน้ำใจที่ซื่อสัตย์มั่นคงและรักจริง แต่น้องจะขอร้องอะไรสักอย่าง คิดว่าคุณพี่คงไม่ขัดข้อง แต่อาจจะเป็นเรื่องหนักใจของคุณพี่ก็ได้ จะกรุณาได้ไหมคะ” 


เมื่อลุงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดอะไร ตอบตกลงทันที ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากจะง่ายอะไร ก็รับรองจะตามใจทุกอย่าง เธอแสดงอาการดีใจนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนลุงต้องเตือนขึ้น เธอจึงบอกด้วยเสียงค่อยๆ และช้าๆ อย่างตริตรองว่า “น้องกับบัวแก้วเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายกันตลอดมา เราเคยร่วมสาบานกันว่า เราจะไม่ทิ้งกัน ไปไหนก็ต้องไปด้วยกัน ในชีวิตเราจะจากกันไม่ได้” 


ลุงได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เท่านั้นหรอกหรือ ตกลงเราจะเอาบัวแก้วไปด้วยเที่ยวปักษ์ใต้ได้สนุกสนานกันเลย ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อน พี่ตามใจทุกอย่าง” แต่เธอก็มิได้แสดงอาการดีใจอะไรที่ลุงยอมสัญญา จะพาเพื่อนรักของเธอร่วมเดินทางไปด้วย 


เธอพูดขึ้นว่า “น้องอยากจะบอกพี่ว่า เราจะร่วมแต่งงานด้วยกัน เพราะได้สาบานไว้ว่าจะร่วมสามีเดียวกัน เราจะไม่แยกกัน” 


พอลุงได้ยินเช่นนั้นก็ตะลึงตกใจงงไปหมด ไม่เคยนึกว่าจะได้ยินได้ฟังคำพูดเช่นนี้ เพราะไม่คิดว่าจะได้คนรักคราวเดียวกันถึงสองคน แทบไม่เชื่อหูตัวเอง นึกว่าฝันไป และด้วยความเต็มใจ ยินดีเห็นชอบแกมบังคับเช่นนี้ คงไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน ทั้งสองสาวก็สวยหยาดฟ้ามาดิน แต่แล้วก็ได้ยินเธอสำทับอีกว่า 


“รับปากกับน้องอีกซิคะว่า พี่จะรับบัวแก้วไว้เป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง ด้วยความเต็มใจของน้อง” 


ลุงงงจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ใครบ้ากันแน่ นี่เป็นความจริงหรือความฝัน ลุงใช้นิ้วมือขวาหยิกหลังมือซ้ายดูก็รู้สึกเจ็บ หยิกใบหูดูก็เจ็บ มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันแน่ นี่ลุงจะได้ภรรยารูปงามราวกับเทพธิดาคราวเดียวกันถึงสองคนเชียวหรือ เพื่อนฝูงทางกรุงเทพฯ คงตกใจเมื่อรู่ข่าวแปลกๆ เช่นนี้ สติลุงยังดีหรือเป็นบ้าไปแล้ว เพราะจิตใจมันปั่นป่วนไปหมด มันตื่นเต้นจนครองสติไม่อยู่ ต่อเมื่อได้สงบสติอารมณ์เข้าสู่ปกติสักครู่แล้ว จึงพูดกับบัวคำแม่ยอดอุตริว่า 


“ที่น้องพูดนี่เป็นความจริงหรือลองใจพี่” 


เธอยิ้มด้วยความขบขัน พลางว่า “นี่เป็นความจริงไม่มีอะไรแอบแฝง พูดด้วยความบริสุทธิ์ ความรู้สึกปกติทางใจ” 


ลุงตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ถูก แต่แล้วลุงก็ต้องตอบบัวคำอีกว่า “น้องแน่ใจแล้วหรือว่า บัวแก้วจะยอมตามที่พูดไว้” 


บัวคำตอบว่า “เราตกลงกันแล้วไม่มีอะไรขัดข้อง เวลานี้อยู่ที่การตัดสินใจของคุณพี่คนเดียวเท่านั้น” 


ลุงก็ได้แต่พูดว่า “ถ้าเช่นนั้นพี่ตามใจ น้องจัดการได้ทุกอย่าง แต่ภายหลังถ้ามีอะไรเดือดร้อน สำหรับเธอทั้งสองคนต้องรับผิดชอบกันเอง อย่ามาทำให้ร้อนใจถึงพี่ด้วยนะ ควรจะตกลงกันเองให้เรียบร้อย” 


บัวคำพูดอย่างดีใจ “โธ่ อย่ากลัวเลยค่ะ จะไม่มีเรื่องอะไรเดือดร้อนขึ้นเป็นอันขาด น้องดีใจมากที่พี่รับปาก” 


“ในชีวิตของลุงก็เพิ่งจะได้พบเรื่องประหลาดที่สุดก็ครั้งนี้ ซึ่งลุงเคยคิดว่าจะมีแต่ในเรื่องอ่านเล่นและวรรณคดีเท่านั้น แต่บัดนี้มาได้กับตัวเองเข้าแล้ว” 


นับตั้งแต่นั้นมา เมื่อไปบ้านบัวคำ ก็มีบัวแก้วนั่งสนทนาอยู่ด้วย ครั้นไปบ้านบัวแก้วก็มีสาวบัวคำไปร่วมสนทนา ชีวิตของลุงเวลานี้มีความสุขใจอย่างที่สุด โลกนี้มันน่าอยู่น่ารื่นรมย์ที่สุด ลุงเป็นชายหนุ่มที่น่าอิจฉาของคนหนุ่มทั่วไปที่มีสองสาวอยู่เคียงข้าง ลุงตกลงหารือกับสองสาวในการจัดงาน และลุงก็เขียนจดหมายลงไปกรุงเทพฯ ให้คุณแม่ขึ้นไปจัดการให้เราตามประเพณีนิยม แต่ก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกันที่เราแต่งงาน โดยมีเจ้าบ่าวคนเดียวแต่มีเจ้าสาวสองคน 


คุณแม่รู้ข่าวคงจะตกอกตกใจ คนที่รับเชิญในงานเขาจะตีหน้าอย่างไร คงจะลือกันว่าอ้ายหมอนี่มันโชคดี มีเมียสาวคราวเดียวตั้งสองคน แต่ก็ไม่อยากจะสนใจมากนัก เมื่อต่างลงความเห็นพ้องต้องกันว่าจะให้ผู้ใหญ่มาจัดการ คืนนั้นเราก็มาสนทนาหยอกล้อกันอย่างมีความสุขด้วยความรักทั้งสามชีวิต เธอช่างร่าเริงเหมือนดอกไม้เพิ่งแย้มในยามเช้าบริสุทธิ์ทั้งจิตใจและร่างกาย 


นึกถึงความรักอันสดชื่นของเราทั้งสามจะครองรักกันจนกว่าจะหาไม่ เราต่างขอคำมั่นสัญญาเพื่อเป็นหลักให้มั่นใจ ลุงหันหน้าไปทางดอยสุเทพฯ แล้วกล่าวปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะขอครองรักด้วยความซื่อสัตย์มั่นคงต่อหญิงที่รักทั้งสอง คือ บัวแก้ว บัวคำ นอกจากบัวคำบัวแก้วแล้วข้าพเจ้าจะไม่ยอมมีภรรยาต่อไปอย่างเด็ดขาด ถ้าข้าพเจ้าไม่ซื่อตรงต่อสัญญาขอให้เป็นไปตามแต่เจ้าป่าเจ้าเขาจะลงโทษ แล้วก็ยกมือไหว้ขุนเขาดอยสุเทพอยู่เบื้องหน้า แล้วหญิงสาวทั้งสองก็สาบานตามทำนองเดียวกันกับลุง ทำให้เราเห็นอกเห็นใจเพิ่มความในความรักที่มีต่อกันยิ่งขึ้น 


คืนนั้นลุงอยู่บ้านบัวคำถึงตีสอง เราใช้เวลาพร่ำพรอดกันไม่รู้เบื่อ เป็นเวลาชีวิตที่สดชื่นที่สุด ทำให้ลุงมิใคร่อยากจะกลับที่พัก คืนนั้นเป็นเวลาข้างแรมเดือนไม่กระจ่างเหมือนเวลาข้างขึ้น ทันใดนั้นเหตุการณ์ณ์อย่างไม่นึกฝันก็เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เสียงหมาหอนรับกันมาตลอดทาง แล้วเราก็ได้ยินเสียงเพลงซอมาแต่ไกล แต่เสียงนั้นฟังแล้วเยือกเย็นจับใจ ทำให้ขนลุกตั้งชันขึ้นมาตลอดตัว เมื่อได้ยินชัดเจนแล้วสองสาวก็หวีดผวาเข้ากอดกันสะอื้นไห้ ลุงเองก็ตกตะลึงจึงรีบเข้าไปโอบกอดรับขวัญ เห็นสองสาวตัวสั่นขวัญหายก็สงสาร ลุงจึงปลอบว่า 


“เธออย่าตกใจกลัวไปเลย พี่อยู่ที่นี่จะไม่ยอมให้เธอได้รับอันตรายใดๆ เป็นอันขาด เธอทั้งสองก็คือดวงใจในชีวิตของพี่” 


ทั้งสองสาวซบหน้าลงที่ไหล่ทั้งสองข้างแล้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า “ถ้าน้องทั้งสองไม่มีพี่ ก็เห็นจะไม่อยู่เป็นคนต่อไปแล้ว ขอพี่จงเมตตากรุณาน้องทั้งสองให้มากด้วยนะคะ ลุงเอียงไปจูบผมทั้งซ้ายขวาด้วยความรักเอ็นดูและสงสาร ปลอบใจคล้ายกับว่า ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแล้วลุงก็พร้อมจะตายเพื่อเธอ เธอมีกำลังใจขึ้นทันที เธอทั้งสองผละจากอ้อมกอดเปลี่ยนแปลงจากความอ่อนแอเมื่อครู่นี้ให้เข้มแข็งขึ้น พลางพูดว่า 


“ถ้าน้องมีพี่อยู่ข้างๆ น้องก็ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น แม้จะต้องตายก็จะขอกอดคอตายด้วยกัน” 


ลุงรู้สึกพอใจที่เธอเปลี่ยนท่าที จึงถามว่า “ทำไมเธอจึงกลัวเสียงเพลงที่เยือกเย็นเมื่อครู่นี้ล่ะ” 


บัวแก้วพูดขึ้นว่า “นั่นคือเสียงเพลงมรณะค่ะ เป็นเพลงสัญญาของเจ้าแม่ผู้พยาบาท ถ้าใครได้ยินเพลงนี้ ผู้นั้นจะถึงแก่ความตายในไม่ช้า และได้ระบุชื่อบัวแก้วบัวคำเข้าไปในเนื้อเพลงด้วย เพราะฉะนั้นน้องทั้งสอง จึงใจหายขาดสติไปพักหนึ่ง คนที่ไม่ได้ยินนั้นก็ไม่เป็นอันตรายใดๆ จะเป็นก็แต่ผู้ได้ยินเสียงเพลงเท่านั้น เป็นสิ่งที่เชื่อกันมานานแล้วโดยเฉพาะในหมู่บ้านเรา ที่สาวบ้านเรารักใคร่กับชายต่างเมือง คนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังต่อๆ มา แต่บัดนี้เราก็ได้ยินด้วยกันทั้งสามคน เพราะฉะนั้น น้องจะไม่กลัวอะไร แม้เราจะตายก็ตายพร้อมกันทั้งสามคน ถ้าขาดคนหนึ่งคนใดจากน้องไปก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นบัดนี้น้องจึงคิดได้ว่าน้องไม่กลัวอะไรอีกแล้ว เมื่อครู่นี้ได้แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเพราะยังไม่ทันคิด” 


ลุงอดชมจิตใจอันเข้มแข็งของเธอไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าหญิงสาวรูปสวยวัยดรุณีอายุยังไม่ครบยี่สิบ จะมีจิตเข้มแข็งถึงเพียงนี้ เพิ่มความกล้าและเข้มแข็งขึ้นในจิตใจของลุงอีกมาก ลุงจึงปลอบสาวสวยทั้งสองว่า น้องอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล เรื่องใดที่พิสูจน์เห็นจริงก่อนค่อยเชื่อ อย่าเชื่อคำบอกเล่าเป็นมรดกตกทอดกันมา เมื่อเห็นว่าดึกมากจวนสว่างแล้ว ลุงก็ลาสองสาวที่ลุงรักดังดวงใจกลับมายังที่พักด้วยความอาลัยยิ่ง 


รุ่งเช้าลุงก็เร่งเขียนจดหมายชี้แจงถึงความรักประหลาดที่จะต้องมีภรรยาพร้อมกันถึงสองคนในเวลาเดียวกันนั้นไปให้คุณแม่ที่กรุงเทพฯ ทราบและบอกว่าหากชาตินี้ถ้าไม่ได้แต่งงานกับสองสาวแล้ว ก็จะไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต เขียนจบแล้วอ่านทบทวนเห็นถูกต้องตามรู้สึก แล้วยังนึกถึงความรักที่สดชื่น เพลงประหลาดที่เยือกเย็นจนทำให้ผู้ฟังขนหัวชัน วันนั้นรีบจัดแจงนำจดหมายไปยังที่ทำการไปรษณีย์ลงทะเบียน เพราะถือว่าเป็นจดหมายสำคัญ แล้วกลับที่พักรอคอยคำตอบจดหมายจากคุณแม่ที่จะส่งมาด้วยความหวัง 


แต่พอเวลาต่อมาก็มีบุรุษไปรษณีย์นำจดหมายลงทะเบียนมาให้ โดยนายแจ้งเป็นผู้ลงนามรับ เมื่อลุงเปิดอ่านรู้สึกเย็นชาหมดทั้งตัว เพราะจดหมายของคุณแม่เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาอย่างไม่รู้ตัว จดหมายของคุณแม่ตอนหนึ่งมีใจความว่า 


“บัดนี้แม่ได้หมั้นผู้หญิงไว้ให้ลูกแล้ว แม่คิดว่าลูกคงจะพอใจมาก พ่อแม่ของเขาก็เต็มอกเต็มใจยกให้ แม่จัดการให้ผู้ใหญ่ไปหมั้นเรียบร้อยแล้ว แม่มีความภูมิใจมากที่จะได้ลูกสะใภ้ถูกอกถูกใจแม่ ลูกคงไม่คิดว่าจะโบราณเกินไปนะ ที่ไม่รอคอยการตกลงใจของลูกก่อน และแม่ก็คิดว่าลูกเป็นลูกที่ดีอยู่ในโอวาทตลอดมา ลูกคงไม่คิดว่าแม่ใช้วิธีคลุมถุงชนนะ เพราะพ่อกับแม่เมื่อสมัยก่อนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ผู้ใหญ่จัดการ แต่เราก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดมาจนตายจากกัน แม่ขอให้ลูกรีบกลับมาบ้านจะได้รู้จักคู่หมั้นของลูก บัดนี้คู่หมั้นของลูกได้มาบ้านเสมอ เอาใจใส่ปฏิบัติแม่เหมือนว่าเป็นลูกสะใภ้แล้ว เธอน่ารักน่าเอ็นดูมาก คุณพ่อของเธอเคยเป็นเพื่อนกับเจ้าคุณพ่อของลูก เคยรับราชการ่วมกันมานานแล้วย้ายไปทางใต้ เพิ่งจะย้ายกลับมาเมื่อเร็วๆ นี้เอง ขอให้ลูกรีบมาจัดการในเรื่องการแต่งงานโดยเร็ว อย่าให้แม่เสียผู้ใหญ่ เพราะแม่บอกว่าลูกเป็นคนอยู่ในโอวาทของแม่” 


เมื่อลุงได้อ่านจดหมายแล้วเหงื่อแตกเย็นเสียวจับหัวใจราวกับเป็นไข้ มองเห็นวิมานที่ลุงสร้างไว้กำลังพังทลายลงมาแล้ว ลุงตัดสินใจไม่ได้ เพราะทางโน้นก็แม่ซึ่งมีพระคุณเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ พระคุณล้นเหลือไม่มีอะไรเทียบเท่า ส่วนสองสาวลุงก็ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ยอมมีรักอื่นอีก จะรักษาคำสาบานไว้เท่าชีวิต ทั้งไม่มีความรักเหลือไว้ให้ใครอีกต่อไป 


จดหมายของลุงส่งสวนทางกับจดหมายของคุณแม่ ลุงไม่มีสติจะคิดอะไรอีกแล้ว ลุงต้องนอนซมนับตั้งแต่วันนั้น อาการไข้ขึ้นสูง ตัวร้อนหนาวสั่นจับใจ ที่สุดลุงก็ไม่ได้สติเพ้อตลอดเวลา และลุงก็รู้ตัวว่าหมออาลัยในชีวิตเสียแล้ว เจ้าของบ้านผู้มีพระคุณซึ่งได้กรุณาให้ที่พักพิงก็ตกใจมาก รีบจัดการตามหมอมารักษา และรีบโทรเลขไปทางกรุงเทพฯ 


ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรแน่นอน วันนี้มีความสุขพรุ่งนี้มีความทุกข์ไม่มีใครรู้อนาคต น่าสงสารบัวแก้วบัวคำสองสาวที่น่ารัก เธอไม่รู้ว่าบัดนี้คนรักของเธอป่วยหนัก เธอคงตั้งตาคอยอยู่ทางบ้านด้วยความกระวนกระวาย ส่วนคุณแม่ทางกรุงเทพฯ เมื่อได้รับจดหมายของลูกชายก็แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ทำไมเรื่องมันถึงเป็นได้เช่นนี้ 


เมื่อแม่ได้รับโทรเลขด่วนบอกข่าวป่วย เป็นธรรมดาของแม่ทั่วๆ ไปย่อมเป็นห่วงลูกและรักลูก เมื่อได้รับโทรเลขก็ตกใจมากรีบจัดแจงขึ้นรถไฟด่วนขึ้นมาทันที แต่แม่หาได้มาคนเดียวไม่พ่วงเอาลูกสะใภ้ในอนาคต และได้มีนายแพทย์ประจำตัวมาด้วย รู้สึกจะโกลาหลกันมาก เมื่อตรวจดูแล้วก็ปรากฏว่าเป็นไข้มาลาเรียอย่างแรง คุณแม่ตกลงจะพาตัวลุงไปรักษาที่กรุงเทพฯ 


ส่วนเจ้าของบ้านบอกว่าควรให้หมอคอตส์รักษาดีกว่า เพราะเป็นผู้ชำนาญ 


แต่คุณแม่คิดเกินไปกว่านั้น ถ้าหากรักษาอยู่เชียงใหม่ ถ้าหายแล้วก็กลัวลุงจะไม่ยอมกลับกรุงเทพฯ แน่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงคิดว่าควรพาตัวลงไปกรุงเทพฯ เมื่อหายแล้วก็จับตัวแต่งงานเสียเลยจะไม่ยอมฟังเสียงใดๆ อีก เวลาป่วยลุงก็มีคู่หมั้นที่ลุงไม่เคยรู้จักมาก่อนคอยพยาบาลอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เธอไม่ยอมห่างจากลุงเลย เธอปฏิบัติลุงได้อย่างสนิทสนมไม่มีความรังเกียจ คล้ายว่าเคยรู้จักรักใคร่กันมาเป็นปีๆ 


ที่สุดคุณแม่ก็พาตัวลุงขึ้นรถไฟมารักษาที่กรุงเทพฯ จนได้ ปรากฏว่าลุงคลุ้มคลั่งอยากตายเพราะเป็นโรคมาลาเรียขึ้นสมอง ต้องรักษากันนานวันกว่าจะหายเป็นปกติ เมื่อเกือบหายปกติลุงก็นึกถึงแต่บัวแก้วบัวคำว่า ป่านนี้เธอจะคิดอย่างไรก็ไม่รู้ คงจะโศกเศร้าเสียใจ จะต้องเขียนจดหมายชี้แจงเหตุผลให้เธอทราบเสียก่อน เพื่อให้เธอหายห่วง เพราะต้องนอนป่วยเป็นเวลานานไม่ได้รับข่าวคราวเธอเลย คิดแล้วก็มีความวิตกและเป็นห่วงคิดถึงบัวแก้วบัวคำทั้งสองนางมาก 


จิตใจก็ไม่มีความสุขกระวนกระวายอยู่ตลอดเวลา แม้จะมีคู่หมั้นคอยเอาอกเอาใจทุกอย่างเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์ คอยถามโน่นถามนี่ เพราะเธออยากทำทุกอย่างให้เป็นที่ถูกใจลุง แต่เมื่อเอาอกเอาใจมากเกินไปก็เกิดความรำคาญขึ้นมา แต่ลุงก็ไม่ได้แสดงกิริยาอะไรให้เป็นที่น้อยใจ นึกสงสารว่าเธอไม่ควรจะพัวพันในชีวิตของลุงเลย ลุงได้ส่งข่าวไปทางเชียงใหม่โดยแอบให้เด็กเอาไปส่งลงทะเบียน เพื่อป้องกันเด็กลืมหรือจดหมายหาย แล้วก็เฝ้าคอยแต่ไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลย ลุงเฝ้าแต่ชะเง้อคอย และหมั่นถามว่ามีจดหมายมาหรือเปล่า แต่คอยแล้วก็หายเงียบ ไม่มีวี่แววว่าจะได้รับข่าวจากคนรัก 


ความร้อนใจกระวนกระวายใจและความเป็นห่วงถึงคนรักนั้นมีมากมายเพียงไร ไม่มีใครจะรู้ดีเท่าตัวเอง ลุงหมดความสุข ถ้าจดหมายที่ส่งไปถึงแล้ว เธอจะต้องรีบตอบทันทีเพราะลุงรู้นิสัยจิตใจคนรักได้ดี แต่ทำไมจดหมายส่งไปจึงไม่ได้ตอบรับ ชักจะเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที เมื่อค้นใบรับลงทะเบียนของกรมไปรษณีย์ก็เห็นตีตราลงวันที่ถูกต้องทุกอย่าง 


จะว่าเด็กไม่เอาไปส่งทาง ปณ. ก็ไม่ได้ มีปัญหาว่า ทำไมเธอจึงไม่ตอบ ทั้งสัญญาว่าชีวิตของเราแยกกันไม่ได้ คิดขึ้นมาได้ว่าคราวนี้ควรจะจดหมายให้เพื่อนช่วยไปสืบเสาะหาความจริงที่บ้านของสาวบัวแก้วและบัวคำ ไปถามถึงเหตุผลดูคงจะได้รู้เรื่องแน่นอน และบังเอิญวันนั้นคู่หมั้นของลุง เขาลากลับบ้านไป ลุงได้ตัดสินใจเล่าเรื่องทางจดหมายให้เพื่อนทางเชียงใหม่ฟังและขอความช่วยเหลือ 


ยังไม่ทันจะจบก็มีเพื่อนมาเยี่ยม จึงนึกว่าถ้าได้ฝากเพื่อนไปส่งจดหมายลงทะเบียน และยังไม่ลืมที่จะส่งถึงบัวแก้วบัวคำอีกหนึ่งฉบับ คราวนี้คิดว่าคงจะปลอดภัยดีกว่าคนในบ้านไปส่ง จึงเขียนเพิ่มเติมลงไปว่า หากจดหมายตอบมาทางบ้านก็คงจะไม่สะดวก จึงสงสัยว่าจะมีคนคอยกักจดหมาย ได้บอกให้ส่งในนามของเพื่อนเป็นผู้รับ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ฝากเพื่อนไปส่งทางไปรษณีย์ เหตุการณ์ณ์คงจะเรียบร้อย แต่แล้วไม่ช้าเพื่อนทางเชียงใหม่ก็จดหมายตอบมา เมื่อได้เห็นเพื่อนนำจดหมายมาส่งให้ แต่เมื่อปิดอ่านทันทีก็รู้ข้อความในจดหมายแล้ว ทำให้ลุงมือเท้าหมดแรงแทบจะล้มทั้งยืน 


เพราะตอนหนึ่งในจดหมายของเพื่อนบอกว่า.........เมื่อผมเดินเข้าไปในบ้านของบัวแก้วเห็นเงียบเชียบและวังเวงชอบกล.........มองเห็นพ่อเฒ่าหนานหมูก็เห็นแกซึม.........มองดูแม่เฒ่าคำแปงผู้น้องสาวก็คล้ายมีความทุกข์ใจอย่างหนัก ผมเกือบจะไม่กล้าถามอะไร แต่เมื่อได้รับภาระของเพื่อนมาแล้วก็ต้องให้ได้เรื่อง จึงแข็งใจถามเรื่องราวดู ก็ได้ทราบว่าวันหนึ่ง บัวแก้วได้รับจดหมายลงทะเบียนมาจากกรุงเทพฯ เมื่อเปิดออกอ่านแล้วก็ร้องไห้วิ่งไปหาบัวคำต่างก็ร้องไห้ ไม่รู้ว่าจดหมายอันนั้นว่าอะไรบ้าง 


ต่อจากนั้นมาสองสาวก็ไม่มีความสุข ไม่เป็นอันกินอันนอนร่างกายซูบซีด ต่อมาก็มีแม่ชีเฒ่ามาจากเมืองใต้แล้วก็ได้สนทนาไต่ถามถึงความทุกข์ ความตรอมใจ แม่ชีก็ตักเตือนให้นึกถึงทางพระ พิจารณาทุกอย่างไม่มีอะไรแน่นอน แต่ต่อมาทั้งบัวแก้วบัวคำก็หายออกไปจากบ้านทั้งคู่ ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าสองสาวคงจะเข้าทางธรรม เพื่อปัดเป่าความทุกข์ให้พ้นเวรกรรม ได้เขียนจดหมายบอกลุงหนานหมูและแม่เฒ่าคำแปงว่า อย่าติดตามไปเลย เพราะตั้งใจไปสู่ทางดี 


นอกจากนั้นยังมีจดหมายฝากให้คุณอีกฉบับหนึ่ง ลุงหนานหมูแกไม่ยอมมาให้ บอกว่าจะมอบให้กับตัวคุณด้วยมือของแกเอง เพราะหลานสั่งไว้เช่นนั้น ผมจนใจจริงๆ ไม่ทราบว่ามีใจความอย่างไร วันนั้นผมรู้สึกเศร้าใจมาก คิดว่าอันตัวผมก็เศร้าใจเมื่อได้ทราบเรื่องถึงเพียงนี้ เมื่อคุณได้ทราบแล้วจะเศร้าใจเพียงไหน ผมเห็นใจเพื่อนจริงๆ 


เมื่อลุงได้อ่านจดหมายแล้วใจหายน้ำตาไหลต้องสะอื้น เพราะชีวิตอนาคตของลุงถูกทำลายจนสุดสิ้นไปแล้ว ลุงนึกในใจว่า ลุงจะต้องขึ้นไปเชียงใหม่ให้ได้ แม้ว่าจะต้องขัดใจกับคุณแม่ก็ตาม ตั้งใจจะหนีไปไม่ยอมบอกให้คุณแม่รู้ เพราะโกรธว่าคุณแม่เป็นต้นเหตุทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานั้นลุงเหมือนคนที่ไม่มีหัวใจ เกือบจะไม่รู้สึกตัวว่าได้ทำอะไรผิดหรือถูกลงไปบ้าง สติไม่ดีคล้ายคนบ้า 


แต่เมื่อได้สติขึ้นมาก็นึกได้ว่า เราก็ได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ความขมขื่นเพียงไร เมื่อได้ทำลายความหวังหมดสิ้นไป อย่างไรก็ดีควรจะเอาทางพระระงับใจ อย่าปล่อยไปตามอารมณ์ เพราะจะทำให้คุณแม่บังเกิดเกล้าผู้มีพระคุณยิ่งให้ได้รับความกระทบกระเทือนใจเกิดขึ้น เป็นการขาดความกตัญญูไม่สมควร เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็สงบใจ 


เมื่อได้โอกาส ลุงจึงพูดกับคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับ ผมอยากจะขึ้นไปเชียงใหม่ เพื่อจะได้มีโอกาสสืบหาบัวแก้วกับบัวคำ ว่าเธอจากบ้านไปแล้วไปอยู่ที่ไหน ผมไม่สามารถจะลืมเธอได้ คุณแม่ให้ผมไปนะครับ” 


ลุงคิดว่าคุณแม่คงจะทักท้วงหรือห้ามปรามไม่ยอมให้ไป เพราะคุณแม่เคยเอาแต่ใจชอบ แต่ก็เป็นการเข้าผิด คุณแม่กลับพูดอย่างรู้สึกตัวอย่างเสียใจว่า 


“ลูกรักของแม่ ตามใจลูกแม่ไม่ห้ามแล้ว เพราะแม่รู้ตัวว่าแม่ผิดไปแล้ว แม่ไม่รู้จักความรักของลูกกับบัวคำและบัวแก้วจะถือมั่นเป็นชีวิตเช่นนี้ ครั้งก่อนแม่ก็ได้เสียลูกสาวไปแล้ว คราวนี้แม่จะไม่ยอมเสียลูกชายไปอีกเป็นอันขาด เมื่อลูกจะไปแม่ก็ไม่ห้าม ขอให้ลุกคิดถึงแม่ที่รักลูก และเป็นห่วงลูกบ้างก็แล้วกัน” พูดแล้วคุณแม่ก็ร้องไห้ 

ลุงเกิดความสงสารคุณแม่มาก จึงพูดว่า “ผมเป็นลูกของคุณแม่ พระคุณนั้นสูงสุดผมไม่สามารถจะตอบแทนได้ ฉะนั้นผมไม่มีวันลืม ผมจะรีบกลับเมื่อได้ข่าวเรื่องบัวแก้วบัวคำแล้ว” 

เมื่อลุงขึ้นถึงเชียงใหม่ก็มิได้รอช้า เพราะจิตใจมันร้อนเป็นไฟ มีแต่ความทุกข์ความเศร้า ขาดความสุขความสบาย มีความกระวนกระวายใจ อยากทราบข่าวสองสาวโดยเร็ว เมื่อลุงย่างเข้าไปในเขตบ้านลุงหนานหมู ลางสังหรณ์ทำให้จิตใจสั่นไหวพรั่นพรึงขลาดกลัวขึ้นมา เกรงจะได้รับข่าวร้าย 


สายตามองดูรอบๆ บ้าน อุปาทานเกิดไปคิดว่าต้นไม้ใบไม้มันช่างเงียบเหงา ดูแล้วเหมือนไม่มีชีวิตชีวาก็เศร้าใจ เคยเห็นดอกกุหลาบใหญ่ต่างสี บัดนี้กำลังจะร่วงโรยเหี่ยวแห้งไปทั้งต้นหมดแล้ว คงจะไม่ได้รดน้ำพรวนดินมานานคงถูกทอดทิ้ง เพราะเจ้าของจากไปแล้ว น้ำตาลุงไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เจ้าโต้งไก่อูที่เลี้ยงถูกปล่อยให้หากินตามเรื่องในบริเวณบ้านนั้น มันยืนนิ่งยกขาย่องค้างยืนขาเดียว ตะแคงคอมองดูลุงที่กำลังจดๆ จ้องๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน ยืนหัวบันได ร้องเรียกลุงหนานด้วยเสียงสั่นเครือว่า 


“ลุงหนานครับ ลุงหนานหมู ลุงหนานครับ” บนบ้านเงียบเสียงคล้ายกับไม่มีคนอยู่ ลุงชักใจคอไม่ดี จึงเข้าไปใกล้ตัวบ้านแล้วก็ร้องเรียกเสียงดังขึ้นว่า “ลุงหนานครับ ลุงหนานหมูครับ” 


แต่แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องตอบลงมาจากบนเรือนว่า “ใครเรียกหาหนานหมู หนานหมูไปวัดยังไม่กลับ” 


ได้ยินเสียงนั้นจำได้ว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากป้าคำแปง จึงตอบไปว่า “ผมครับป้าคำแปง ผมแช่มครับ ขึ้นมาจากรุงเทพฯ” 


ป้าคำแปงลุกขึ้นมาจากในเรือน เพราะได้ยินเสียงกุกกัก ก็เห็นแกเปิดประตูห้องออกมา หน้าตาซีดเซียว ลุงเห็นก็ตกใจ รู้สึกว่าหน้าตาแกเหี่ยวแห้งแก่กว่าอายุจริงสัก ๑๐ ปี เพียงพบกันครั้งหลัง เมื่อแกเห็นลุงก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ร้องออกมาเพียงว่า 


“โอ คุณมาแล้ว” เท่านั้นแกก็ร้องไห้เหมือนเด็ก พลางพูดว่า “เดี๋ยวนี้บัวแก้วบัวคำไม่มีในบ้านนี้แล้ว” แกพูดแล้วสะอื้น ลุงพลอยเศร้าและน้ำตาไหลออกมา ด้วยคิดถึงความรัก ความสงสาร ทุกอย่างมันระดมเข้ามาในความรู้สึกของลุงแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ยังยั้งสติไว้ได้ จึงพูดกับแม่เฒ่าคำแปงว่า 


“ผมรู้สึกเสียใจมากป้าคำแปง เป็นความผิดของผมเองที่ได้เจ็บป่วยเสียหลายเดือน กลับลงไปกรุงเทพฯ ก็ไม่มีโอกาสจะได้ทำความเข้าใจเสียก่อนเพราะป่วยจนไม่มีสติ ถ้าคุณแม่ไม่มารับผมกลับกรุงเทพฯ เรื่องก็คงจะไม่ยุ่งยากอย่างนี้ บัดนี้คุณแม่รู้สึกแล้ว จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมาสืบหาบัวแก้วบัวคำอย่างอิสระ” มองดูคำแปงไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร เพียงแต่พูดว่า 


“คุณตามหาบัวแก้วบัวคำไม่พบ มันสายไปเสียแล้ว” 


ลุงพูดด้วยความหนักแน่นว่า “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ผมจะตามจนพบ และในชาตินี้นอกจากบัวแก้วบัวคำแล้ว ผมจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นเป็นอันขาด” 


ลุงพูดจากใจจริง แต่แม่เฒ่าคำแปงก็ไม่มีท่าจะสนใจคำพูดอะไรลุงมากนัก รู้สึกว่าซึมๆ ลุงจึงพูดต่อไปว่า “ผมเสียใจเหลือเกิน ผมขอรับผิดแต่ผู้เดียวในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้ลุงหนานหมูกับป้าคำแปงต้องสูญเสียหลานสาวที่รักยิ่งชีวิต จึงเกิดทุกข์ทรมานจิตใจอย่างสาหัส ผมต้องรับบาปอันนี้แต่ผู้เดียว ตัวผมเองก็ไม่สามารถจะพูดออกเท่าความจริงใจมาได้ว่า ผมต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตอนาคตหมดสิ้น ถ้าหากผมค้นหาบัวแก้วบัวคำไม่พบ” 


เสียงแม่เฒ่าคำแปงพูดอย่างสะอื้นว่า “คุณไม่ผิดป้ารู้เรื่องดีแล้ว คุณแจ้งได้เล่าความจริงให้ป้าและพี่หนานฟังหมดแล้ว ป้ารู้ว่าคุณเป็นคนดีมีความสัตย์ซื่อต่อบัวคำบัวแก้ว เป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่มันเป็นเวรกรรมที่จะต้องรับใช้หนี้เวรในชาติก่อน หรือชาตินี้ป้าก็ไม่รู้ได้ แม้ป้าจะได้รู้ว่ากรรมย่อมหนีไม่พ้น ป้าก็ยังรักอาลัยหักใจไม่ได้ และทั้งสงสารคุณที่ต้องได้รับความระทึกใจในชีวิต” 


ลุงฟังแม่เฒ่าคำแปงพูดจากใจจริงและให้สติ วันนั้นลุงได้สนทนาปรับทุกข์กับแม่เฒ่าคำแปงจนลุงหนานหมูกลับจากวัด แล้วก็ไม่มีอะไร เพราะต่างคนต่างเข้าใจกันดีและเห็นอกเห็นใจกัน ลุงหนานหมูได้มอบจดหมายต่างๆ ของลุงคืนมาให้ เมื่อลุงเปิดออกอ่านก็ตกใจ เพราะจดหมายทุกฉบับได้ปลอมแปลงข้อความตรงกันข้ามหมด แล้วยังปลอมลายมือของลุงด้วย นี่เป็นการกระทำของคู่หมั้นของลุง ที่เจ้ากี้เจ้าการใช้กลอุบายแต่งคำพูดเสียดสี 


แต่แล้วก็เห็นจดหมายอีกหนึ่งฉบับผนึกซองเรียบร้อย จดหมายฉบับนี้หน้าซองสั่งลุงหนานหมูว่า ถ้าหากไม่พบลุงเลยในระยะหนึ่งปีก็ให้เผาให้หมด จดหมายฉบับนี้เป็นของสาวบัวคำ ตอนหนึ่งมีใจความว่า “......คุณพี่คงไม่ว่าน้องทั้งสอง ที่น้องหนีออกจากบ้านนะคะ เพราะมีเหตุจำเป็นบังเอิญตั้งหลายอย่างมาประจวบชะตาร้ายเข้า จดหมายของคุณพี่ได้ทำลายหัวใจของน้องทั้งสองพอแล้ว ยังทางบ้านผู้ใหญ่ยังบังคับให้บัวคำแต่งงานกับอาเสี่ยใหญ่โต ซึ่งใจน้องเพียงแค่นี้ไม่รู้จะช้ำชอกไปถึงไหน แต่เมื่อได้สาบานไว้แล้วว่าจะชื่อตรงต่อกัน น้องจึงได้พากันออกจากบ้าน ธรรมเท่านั้นที่จะระงับความทุกข์ให้สงบได้ โปรดอย่าได้ติดตามน้องเลย น้องไปดี” 


เมื่อลุงได้อ่านจบแล้วก็ต้องสะอื้นกลืนความเศร้าลงไปในอก คิดว่าในชาตินี้จะต้องลำบากยากแค้นเพียงใดลุงจะต้องตามให้พบจนได้ ถ้าตามไม่พบก็คงจะไม่มีความสุขตลอดชีวิตของลุง นับแต่วันนั้นลุงก็เริ่มเดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่คิดว่าสองสาวกับแม่ชีเฒ่าไปได้ 


ครั้งแรกได้ข่าวว่ามีผู้พบสองสาวกับแม่ชีเฒ่าเดินทางเข้าไปในถ้ำเชียงดาว ลุงก็ไม่ย่อท้อติดตามไปด้วย หาคนพื้นบ้านเชียงดาวไปเป็นเพื่อน และในถ้ำเชียงดาวก็ไกลลึกล้ำเกินความสามารถของหญิงทั้งสองกับแม่ชีเฒ่าไปได้ จากนั้นก็เที่ยวตามหาวัดซึ่งมีชีจำศีลมาก แต่การค้นคว้าหาสองสาวที่รักนั้นเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ลุงได้ค้นคว้าแทบจะพลิกแผ่นดินภาคพายัพ โดยท่องเที่ยวสืบหาในที่ต่างๆ เป็นเวลาปีๆ ไม่ได้ข่าวสองสาวคู่ชีวิต 


แต่ก็ได้พบสิ่งที่ประหลาดในชีวิตของลุง ว่าจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ เหตุนั้นเกิดขึ้นเมื่อลุงได้พักอยู่ในจังหวัดเชียงราย คืนหนึ่งจวนใกล้แจ้ง ลุงฝันเห็นบัวคำกับบัวแก้วแต่งกายสวยงามเดินยิ้มเข้ามาหาลุงแล้วพูดขึ้นว่า 


“คุณพี่อย่าได้ติดตามหาน้องทั้งสองเลย เราอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และคอยคุณพี่อยู่ในดินแดนที่มนุษย์หาไม่พบ” 


ในฝันว่าลุงตกตะลึงเมื่อเห็นสองสาวดูสวยงามยังกับหยาดฟ้ามาดิน งามกว่าเมื่อแรกพบ พูดด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อย ดูเธอสวยทั้งรูปสวยทั้งกิริยาวาจาไพเราะ ลุงทนไม่ไหวโผเข้าไปกอดเธอทั้งสองไว้คนละข้าง เธอหัวเราะอย่างเอียงอายแต่มิได้ขัดขืน มันเป็นชีวิตที่สดชื่นไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อนเลย ลุงยังนึกว่า ลุงอยู่บนโลกสวรรค์และวิมาน หรือสุคติที่ใดนะ มันช่างสดชื่นมีความสุขกว่าโลกมนุษย์มากมายอย่างนี้ ความรักของลุงมันฉ่ำชื่นด้วยชีวิตแห่งความสุขจริงๆ ไม่สามารถจะพูดออกมาได้เท่าความจริงที่รู้สึก เราพรอดรักกันใจจะขาดเป็นเวลาเท่าใดไม่สนใจ แต่แล้วสองสาวก็ผลักจากอ้อมกอดของลุง แล้วพูดว่า 


“วันหนึ่งข้างหน้าคุณพี่ก็จะได้มาอยู่ร่วมกับน้องทั้งสอง เราจะได้เสวยความสุขด้วยกันทั้งสามคน จะไม่ต้องจากกัน แต่วันนี้น้องต้องลาไปก่อน และขอให้คุณพี่หยุดค้นคว้าติดตามน้องได้แล้ว ผลแห่งความสัตย์ซื่อต่อกันตลอดมา เราจะต้องมาอยู่ร่วมสุขกันในวันข้างหน้า และน้องทั้งสองขอร้องให้พี่รีบกลับบ้านกรุงเทพฯ โดยด่วน เพราะคุณแม่ท่านกำลังป่วยและต้องการเรียกหาคุณพี่ ลาไปก่อนนะคะ วันข้างหน้ายังเป็นของเรา” 


แล้วลุงก็ตกใจตื่นขึ้นมา แม้จะรู้ว่าเป็นความฝันลุงก็เสียดายเหลือเกิน ความฝันมันจับใจกว่าความเป็นอยู่ธรรมดาที่ไม่ฝัน ใครจะเชื่อหรือไม่ลุงไม่สนใจ เพราะลุงได้พบในฝันมาแล้ว ความซาบซึ้งตรึงใจเพิ่มขึ้นหลายเท่ากับความจริง แต่เมื่อได้ยินสองสาวพูดว่า เธอได้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ให้ลุงเลิกติดตาม ลุงก็สงสัยว่าเธอทั้งสองต้องจากโลกนี้ไปแล้ว และได้บอกว่าให้รีบกลับบ้าน คุณแม่กำลังป่วย ทำให้ลุงนึกถึงคุณแม่ที่ได้ทอดทิ้งมาเป็นเวลาแรมปี และลุงก็อยู่ไม่เป็นที่ ได้แต่จดหมายบอกข่าวไปเท่านั้น 


คราวนี้ลุงรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะเกิดห่วงคุณแม่ขึ้นมาทันที การติดตามสองสาวคงไม่ได้ผล คิดว่าคงเหลือแต่วิญญาณที่กำลังคอยลุงอยู่ในโลกหน้า เมื่อลงจากรถเห็นประตูบ้านจิตใจมันสั่น กลัวคุณแม่จะไม่สบายมาก นึกไปถึงกลัวว่าจะสิ้นท่านไปเสียก่อน โดยไม่ทันเห็นหน้าเห็นใจ พอดึงกระดิ่งเรียกที่หน้าประตูใหญ่ ตาหวังคนใช้เก่าแก่ก็ออกมาเปิดประตู พอเห็นลุงเข้าก็ตกใจและดีใจ ลุงไม่รอช้าด้วยความเป็นห่วงรีบถามถึงอาการคุณแม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับคำตอบว่าค่อยยังชั่วมากแล้ว และสงสัยว่าลุงรู้ข่าวคุณแม่ป่วยได้อย่างไร 


ลุงเกิดความสงสารคุณแม่มาก จึงพูดว่า “ผมเป็นลูกของคุณแม่ พระคุณนั้นสูงสุดผมไม่สามารถจะตอบแทนได้ ฉะนั้นผมไม่มีวันลืม ผมจะรีบกลับเมื่อได้ข่าวเรื่องบัวแก้วบัวคำแล้ว” 


เมื่อลุงขึ้นถึงเชียงใหม่ก็มิได้รอช้า เพราะจิตใจมันร้อนเป็นไฟ มีแต่ความทุกข์ความเศร้า ขาดความสุขความสบาย มีความกระวนกระวายใจ อยากทราบข่าวสองสาวโดยเร็ว เมื่อลุงย่างเข้าไปในเขตบ้านลุงหนานหมู ลางสังหรณ์ทำให้จิตใจสั่นไหวพรั่นพรึงขลาดกลัวขึ้นมา เกรงจะได้รับข่าวร้าย 


สายตามองดูรอบๆ บ้าน อุปาทานเกิดไปคิดว่าต้นไม้ใบไม้มันช่างเงียบเหงา ดูแล้วเหมือนไม่มีชีวิตชีวาก็เศร้าใจ เคยเห็นดอกกุหลาบใหญ่ต่างสี บัดนี้กำลังจะร่วงโรยเหี่ยวแห้งไปทั้งต้นหมดแล้ว คงจะไม่ได้รดน้ำพรวนดินมานานคงถูกทอดทิ้ง เพราะเจ้าของจากไปแล้ว น้ำตาลุงไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เจ้าโต้งไก่อูที่เลี้ยงถูกปล่อยให้หากินตามเรื่องในบริเวณบ้านนั้น มันยืนนิ่งยกขาย่องค้างยืนขาเดียว ตะแคงคอมองดูลุงที่กำลังจดๆ จ้องๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปในบ้าน ยืนหัวบันได ร้องเรียกลุงหนานด้วยเสียงสั่นเครือว่า 


“ลุงหนานครับ ลุงหนานหมู ลุงหนานครับ” บนบ้านเงียบเสียงคล้ายกับไม่มีคนอยู่ ลุงชักใจคอไม่ดี จึงเข้าไปใกล้ตัวบ้านแล้วก็ร้องเรียกเสียงดังขึ้นว่า “ลุงหนานครับ ลุงหนานหมูครับ” 


แต่แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องตอบลงมาจากบนเรือนว่า “ใครเรียกหาหนานหมู หนานหมูไปวัดยังไม่กลับ” 


ได้ยินเสียงนั้นจำได้ว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ นอกจากป้าคำแปง จึงตอบไปว่า “ผมครับป้าคำแปง ผมแช่มครับ ขึ้นมาจากรุงเทพฯ” 


ป้าคำแปงลุกขึ้นมาจากในเรือน เพราะได้ยินเสียงกุกกัก ก็เห็นแกเปิดประตูห้องออกมา หน้าตาซีดเซียว ลุงเห็นก็ตกใจ รู้สึกว่าหน้าตาแกเหี่ยวแห้งแก่กว่าอายุจริงสัก ๑๐ ปี เพียงพบกันครั้งหลัง เมื่อแกเห็นลุงก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ร้องออกมาเพียงว่า 


“โอ คุณมาแล้ว” เท่านั้นแกก็ร้องไห้เหมือนเด็ก พลางพูดว่า “เดี๋ยวนี้บัวแก้วบัวคำไม่มีในบ้านนี้แล้ว” แกพูดแล้วสะอื้น ลุงพลอยเศร้าและน้ำตาไหลออกมา ด้วยคิดถึงความรัก ความสงสาร ทุกอย่างมันระดมเข้ามาในความรู้สึกของลุงแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ยังยั้งสติไว้ได้ จึงพูดกับแม่เฒ่าคำแปงว่า 


“ผมรู้สึกเสียใจมากป้าคำแปง เป็นความผิดของผมเองที่ได้เจ็บป่วยเสียหลายเดือน กลับลงไปกรุงเทพฯ ก็ไม่มีโอกาสจะได้ทำความเข้าใจเสียก่อนเพราะป่วยจนไม่มีสติ ถ้าคุณแม่ไม่มารับผมกลับกรุงเทพฯ เรื่องก็คงจะไม่ยุ่งยากอย่างนี้ บัดนี้คุณแม่รู้สึกแล้ว จึงอนุญาตให้ผมขึ้นมาสืบหาบัวแก้วบัวคำอย่างอิสระ” มองดูคำแปงไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร เพียงแต่พูดว่า 


“คุณตามหาบัวแก้วบัวคำไม่พบ มันสายไปเสียแล้ว” 


ลุงพูดด้วยความหนักแน่นว่า “ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ผมจะตามจนพบ และในชาตินี้นอกจากบัวแก้วบัวคำแล้ว ผมจะไม่แต่งงานกับหญิงอื่นเป็นอันขาด” 


ลุงพูดจากใจจริง แต่แม่เฒ่าคำแปงก็ไม่มีท่าจะสนใจคำพูดอะไรลุงมากนัก รู้สึกว่าซึมๆ ลุงจึงพูดต่อไปว่า “ผมเสียใจเหลือเกิน ผมขอรับผิดแต่ผู้เดียวในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้ลุงหนานหมูกับป้าคำแปงต้องสูญเสียหลานสาวที่รักยิ่งชีวิต จึงเกิดทุกข์ทรมานจิตใจอย่างสาหัส ผมต้องรับบาปอันนี้แต่ผู้เดียว ตัวผมเองก็ไม่สามารถจะพูดออกเท่าความจริงใจมาได้ว่า ผมต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตอนาคตหมดสิ้น ถ้าหากผมค้นหาบัวแก้วบัวคำไม่พบ” 


เสียงแม่เฒ่าคำแปงพูดอย่างสะอื้นว่า “คุณไม่ผิดป้ารู้เรื่องดีแล้ว คุณแจ้งได้เล่าความจริงให้ป้าและพี่หนานฟังหมดแล้ว ป้ารู้ว่าคุณเป็นคนดีมีความสัตย์ซื่อต่อบัวคำบัวแก้ว เป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่มันเป็นเวรกรรมที่จะต้องรับใช้หนี้เวรในชาติก่อน หรือชาตินี้ป้าก็ไม่รู้ได้ แม้ป้าจะได้รู้ว่ากรรมย่อมหนีไม่พ้น ป้าก็ยังรักอาลัยหักใจไม่ได้ และทั้งสงสารคุณที่ต้องได้รับความระทึกใจในชีวิต” 


ลุงฟังแม่เฒ่าคำแปงพูดจากใจจริงและให้สติ วันนั้นลุงได้สนทนาปรับทุกข์กับแม่เฒ่าคำแปงจนลุงหนานหมูกลับจากวัด แล้วก็ไม่มีอะไร เพราะต่างคนต่างเข้าใจกันดีและเห็นอกเห็นใจกัน ลุงหนานหมูได้มอบจดหมายต่างๆ ของลุงคืนมาให้ เมื่อลุงเปิดออกอ่านก็ตกใจ เพราะจดหมายทุกฉบับได้ปลอมแปลงข้อความตรงกันข้ามหมด แล้วยังปลอมลายมือของลุงด้วย นี่เป็นการกระทำของคู่หมั้นของลุง ที่เจ้ากี้เจ้าการใช้กลอุบายแต่งคำพูดเสียดสี 


แต่แล้วก็เห็นจดหมายอีกหนึ่งฉบับผนึกซองเรียบร้อย จดหมายฉบับนี้หน้าซองสั่งลุงหนานหมูว่า ถ้าหากไม่พบลุงเลยในระยะหนึ่งปีก็ให้เผาให้หมด จดหมายฉบับนี้เป็นของสาวบัวคำ ตอนหนึ่งมีใจความว่า “......คุณพี่คงไม่ว่าน้องทั้งสอง ที่น้องหนีออกจากบ้านนะคะ เพราะมีเหตุจำเป็นบังเอิญตั้งหลายอย่างมาประจวบชะตาร้ายเข้า จดหมายของคุณพี่ได้ทำลายหัวใจของน้องทั้งสองพอแล้ว ยังทางบ้านผู้ใหญ่ยังบังคับให้บัวคำแต่งงานกับอาเสี่ยใหญ่โต ซึ่งใจน้องเพียงแค่นี้ไม่รู้จะช้ำชอกไปถึงไหน แต่เมื่อได้สาบานไว้แล้วว่าจะชื่อตรงต่อกัน น้องจึงได้พากันออกจากบ้าน ธรรมเท่านั้นที่จะระงับความทุกข์ให้สงบได้ โปรดอย่าได้ติดตามน้องเลย น้องไปดี” 


เมื่อลุงได้อ่านจบแล้วก็ต้องสะอื้นกลืนความเศร้าลงไปในอก คิดว่าในชาตินี้จะต้องลำบากยากแค้นเพียงใดลุงจะต้องตามให้พบจนได้ ถ้าตามไม่พบก็คงจะไม่มีความสุขตลอดชีวิตของลุง นับแต่วันนั้นลุงก็เริ่มเดินทางไปทุกหนทุกแห่งที่คิดว่าสองสาวกับแม่ชีเฒ่าไปได้ 


ครั้งแรกได้ข่าวว่ามีผู้พบสองสาวกับแม่ชีเฒ่าเดินทางเข้าไปในถ้ำเชียงดาว ลุงก็ไม่ย่อท้อติดตามไปด้วย หาคนพื้นบ้านเชียงดาวไปเป็นเพื่อน และในถ้ำเชียงดาวก็ไกลลึกล้ำเกินความสามารถของหญิงทั้งสองกับแม่ชีเฒ่าไปได้ จากนั้นก็เที่ยวตามหาวัดซึ่งมีชีจำศีลมาก แต่การค้นคว้าหาสองสาวที่รักนั้นเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ลุงได้ค้นคว้าแทบจะพลิกแผ่นดินภาคพายัพ โดยท่องเที่ยวสืบหาในที่ต่างๆ เป็นเวลาปีๆ ไม่ได้ข่าวสองสาวคู่ชีวิต 


แต่ก็ได้พบสิ่งที่ประหลาดในชีวิตของลุง ว่าจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ เหตุนั้นเกิดขึ้นเมื่อลุงได้พักอยู่ในจังหวัดเชียงราย คืนหนึ่งจวนใกล้แจ้ง ลุงฝันเห็นบัวคำกับบัวแก้วแต่งกายสวยงามเดินยิ้มเข้ามาหาลุงแล้วพูดขึ้นว่า 


“คุณพี่อย่าได้ติดตามหาน้องทั้งสองเลย เราอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว และคอยคุณพี่อยู่ในดินแดนที่มนุษย์หาไม่พบ” 


ในฝันว่าลุงตกตะลึงเมื่อเห็นสองสาวดูสวยงามยังกับหยาดฟ้ามาดิน งามกว่าเมื่อแรกพบ พูดด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อย ดูเธอสวยทั้งรูปสวยทั้งกิริยาวาจาไพเราะ ลุงทนไม่ไหวโผเข้าไปกอดเธอทั้งสองไว้คนละข้าง เธอหัวเราะอย่างเอียงอายแต่มิได้ขัดขืน มันเป็นชีวิตที่สดชื่นไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อนเลย ลุงยังนึกว่า ลุงอยู่บนโลกสวรรค์และวิมาน หรือสุคติที่ใดนะ มันช่างสดชื่นมีความสุขกว่าโลกมนุษย์มากมายอย่างนี้ ความรักของลุงมันฉ่ำชื่นด้วยชีวิตแห่งความสุขจริงๆ ไม่สามารถจะพูดออกมาได้เท่าความจริงที่รู้สึก เราพรอดรักกันใจจะขาดเป็นเวลาเท่าใดไม่สนใจ แต่แล้วสองสาวก็ผลักจากอ้อมกอดของลุง แล้วพูดว่า 


“วันหนึ่งข้างหน้าคุณพี่ก็จะได้มาอยู่ร่วมกับน้องทั้งสอง เราจะได้เสวยความสุขด้วยกันทั้งสามคน จะไม่ต้องจากกัน แต่วันนี้น้องต้องลาไปก่อน และขอให้คุณพี่หยุดค้นคว้าติดตามน้องได้แล้ว ผลแห่งความสัตย์ซื่อต่อกันตลอดมา เราจะต้องมาอยู่ร่วมสุขกันในวันข้างหน้า และน้องทั้งสองขอร้องให้พี่รีบกลับบ้านกรุงเทพฯ โดยด่วน เพราะคุณแม่ท่านกำลังป่วยและต้องการเรียกหาคุณพี่ ลาไปก่อนนะคะ วันข้างหน้ายังเป็นของเรา” 


แล้วลุงก็ตกใจตื่นขึ้นมา แม้จะรู้ว่าเป็นความฝันลุงก็เสียดายเหลือเกิน ความฝันมันจับใจกว่าความเป็นอยู่ธรรมดาที่ไม่ฝัน ใครจะเชื่อหรือไม่ลุงไม่สนใจ เพราะลุงได้พบในฝันมาแล้ว ความซาบซึ้งตรึงใจเพิ่มขึ้นหลายเท่ากับความจริง แต่เมื่อได้ยินสองสาวพูดว่า เธอได้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ให้ลุงเลิกติดตาม ลุงก็สงสัยว่าเธอทั้งสองต้องจากโลกนี้ไปแล้ว และได้บอกว่าให้รีบกลับบ้าน คุณแม่กำลังป่วย ทำให้ลุงนึกถึงคุณแม่ที่ได้ทอดทิ้งมาเป็นเวลาแรมปี และลุงก็อยู่ไม่เป็นที่ ได้แต่จดหมายบอกข่าวไปเท่านั้น 


คราวนี้ลุงรีบกลับกรุงเทพฯ เพราะเกิดห่วงคุณแม่ขึ้นมาทันที การติดตามสองสาวคงไม่ได้ผล คิดว่าคงเหลือแต่วิญญาณที่กำลังคอยลุงอยู่ในโลกหน้า เมื่อลงจากรถเห็นประตูบ้านจิตใจมันสั่น กลัวคุณแม่จะไม่สบายมาก นึกไปถึงกลัวว่าจะสิ้นท่านไปเสียก่อน โดยไม่ทันเห็นหน้าเห็นใจ พอดึงกระดิ่งเรียกที่หน้าประตูใหญ่ ตาหวังคนใช้เก่าแก่ก็ออกมาเปิดประตู พอเห็นลุงเข้าก็ตกใจและดีใจ ลุงไม่รอช้าด้วยความเป็นห่วงรีบถามถึงอาการคุณแม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับคำตอบว่าค่อยยังชั่วมากแล้ว และสงสัยว่าลุงรู้ข่าวคุณแม่ป่วยได้อย่างไร 


พี่สาวลุงร้องไห้กอดขาลุงไว้แล้วอ้อนวอนว่า “แช่มสงสารพี่เถิด ปล่อยให้ไปเอาบุญเถิดนะน้อง อย่าเอะอะบอกใครเลย มิฉะนั้นพี่ต้องตายแน่ ขอน้องเห็นใจพี่บ้าง น้องยังเล็กเกินไปจะรู้สึกถึงจิตใจของพี่ เมื่อโตขึ้นน้องคงจะรู้เองว่า พี่พูดถูกและคงเห็นใจพี่ คนดีของพี่ จงปล่อยพี่ไปตามบุญตามกรรมเถิดนะ จะให้พี่ไหว้หรือพี่กราบพี่ก็ยอม นี่ก็ยามสามแล้ว ถ้าช้าประเดี๋ยวมีคนในบ้านตื่นก็จะเสียการหมด โถเห็นใจพี่เถิดน้อง ถ้าชีวิตพี่ไม่ตายไปก่อน พี่จะไม่ลืมบุญคุณ” 


แต่เวลานั้นลุงใจแข็ง เพราะตั้งใจจะเอาหน้ากับคุณแม่อย่างเดียว ไม่นึกอย่างอื่นว่าจะเสียหายอย่างไรเกิดขึ้น ในการกระทำครั้งนั้น ลุงได้ตะโกนเรียกคุณแม่ว่า “คุณแม่ครับ พี่ชดช้อยกำลังจะหนีครับ” 


พอเสียงลุงตะโกนออกไปเท่านั้น พี่สาวลุงก็เป็นลมล้มพับไปคาบันไดนั้นเอง คนในบ้านต่างก็ตื่นขึ้นมา คุณแม่ตกใจ เปิดประตูห้องออกมาเห็นสภาพของพี่สาวลุงเช่นนั้นก็โกรธมาก เริ่มจิกผมตบหน้าทั้งๆ ที่พี่สาวลุงกำลังหมดสติ ตบซ้ายตบขวา ปากก็ด่าว่าเน้นด้วยความแค้นใจ ลุงทนดูพี่สาวถูกตบตีไม่ไหว จึงร้องห้ามว่า “แม่อย่าตบตีพี่ชดช้อยหนักอย่างนั้นซิ” 


คุณแม่หันมาดุลุงว่า “ตาแช่มอย่ามายุ่ง พี่เอ็งเขากำลังจะทำงามหน้า หอบผ้าตามผู้ชายไป แม่จะตบให้ตายคามือดีกว่าที่จะให้มันทำขายหน้าชาวบ้านร้านตลาด มันไม่รักดี ไม่รักศักดิ์ศรีว่าเป็นลูกพระยานาหมื่น” พูดแล้วก็ลากมือพี่ชดช้อยถูลู่ถูกังเข้าไปเฆี่ยนตีในห้องมิดชิด คืนนั้นเดือนส่องแสงสว่างมองเห็นชัดในระยะไกล 


ในที่สุดก็มีเสียงเอะอะอยู่ข้างรั้วบ้าน คนใช้ผู้ชายหลายคนได้ฉุดกระชากลากชายคนหนึ่ง เข้ามาถึงตรงบันไดหน้าบ้าน ทุกคนก็จำหน้าได้ว่าไม่ใช่คนอื่น คือ เจ้าทิดมหานั่นเอง ความจริงเจ้าทิดนี่ไม่น่าจะถูกจับเลย เพราะเมื่อได้ยินเสียงเอะอะในบ้าน แล้วก็ควรจะรีบหนีเอาตัวรอดก่อนนานแล้ว แต่นี่แกไม่ยอมหนี ยอมให้เขาจับมาแต่โดยดี เหมือนจะหมดอาลัยในชีวิตคู่ที่แผนการหนีไปร่วมชีวิตกันต้องถูกทำลายลง ความหมดหวังในชีวิตนั้นอาจทำได้ทุกอย่าง 


แม้แต่ชีวิตทิดมหานั้นก็เช่นเดียวกัน แต่ความโกรธแค้นก็ทำได้ทุกอย่าง เช่น คุณแม่ตกอยู่ในอำนาจของโทสะ นอกจากจะทำโทษลูกสาวที่รักของตัว ก็ยังมาสั่งให้ลงโทษโบยเจ้าทิดมหาผู้เคราะห์ร้ายจนร่างกายสะบักสะบอม แต่เจ้าทิดก็อดทนทายาทไม่ได้ปริปากร้องขอชีวิตหรือผ่อนโทษ กัดฟันทนรับการทารุณอย่างถวายชีวิต 


เมื่อคุณแม่เห็นสมควรแก่โทษแก่ผู้ที่จะมาคอยลักลูกสาวแล้วก็ไล่ออกจากบ้านไป เหตุที่เกิดขึ้นลุกลามใหญ่โตเช่นนี้ ก็เพราะเจ้าคุณพ่อต้องตามเสด็จในกรมไปราชการต่างเมืองเป็นเวลาแรมเดือน ถ้าเจ้าคุณพ่ออยู่บ้านก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก เพราะเจ้าคุณพ่อเป็นคนสุขุม มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจคนเรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก ผิดกับคุณแม่ เรื่องเล็กคุณแม่ชอบทำเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเกิดเรื่องแล้วทำให้ลุงคิดถึงเจ้าคุณพ่อมาก 


วันรุ่งเข้าลุงได้ไปในห้องของพี่ชดช้อย ก็เห็นหน้าตาซูบซีดนอนแบบผมยุ่ง ไม่ยอมกินอาหารที่คนใช้ยกมาให้ หมดอาลัยไยดีในชีวิต เอาแต่ร้องไห้ตลอดเวลาไม่หลับไม่นอน คุณแม่กักขังไม่ยอมให้ออกจากห้อง ตอนนี้ลุงเกิดความสงสารพี่สาวขึ้นมา จึงเข้าไปยืนดูด้วยใจไม่สบาย ตั้งใจว่าจะพูดขอโทษก็พูดไม่ออก ได้แต่ยืนมองนิ่งอยู่ เห็นพี่สาวหันมามองตาเขียวแสดงถึงความโกรธ พูดสะบัดอย่างแค้นใจว่า 


“อ้ายน้องใจชั่ว สมใจแล้วซีที่ทำลายอนาคต และชีวิตของพี่สิ้นสุดลงแล้ว คงได้หน้าบานแล้วสินะพ่อตัวดี” 


เวลานั้นลุงยังเด็กเกินไปที่จะนึกถึงคำพูดออกมาเพื่อขอโทษรับผิด คงได้แต่ยืนงงฟังคำแค้นออกจากปากพี่สาว โดยไม่พูดโต้ตอบอะไร จึงทำให้พี่สาวโกรธมากขึ้น ถึงกับไล่ออกจากห้อง และแช่งด่าตามมาด้วยว่า 


“มึงไปให้พ้นห้องเดี๋ยวนี้ อ้ายน้องชายเจ้าเล่ห์ กูไม่อยากเห็นหน้ามึงต่อไปในชาตินี้ และจงจำคำของกูไว้ให้ดี มึงทำกรรมกับกูคราวนี้ กรรมนั้นจะตามสนองมึงต่อไป มึงให้ทุกข์แก่กู ทุกข์นั้นจะถึงตัวมึง อย่าให้ข้ามชาตินี้เลย” 


เวลานั้นลุงไม่ได้คิดไม่ได้นึกอะไร คิดว่าคนเราเมื่อมีความโกรธขึ้นมา ก็พูดไปตามอารมณ์ จะถืออะไรมาเป็นแก่นสาร แต่บัดนี้ลุงชักจะสงสัยว่า คำสาปแช่งของพี่สาวลุงนั้น รู้สึกมองเห็นว่ากำลังจะเป็นจริงขึ้นแล้ว เมื่อได้ยินแม่เฒ่าคำแปงพูดย้ำถึงกรรมคำสาปแช่งของผู้พี่ 


เหตุการณ์ในบ้านลุงมิใช่ว่าจะยุติลงเพียงแค่นั้น เรื่องใหญ่กำลังติดตามมา ลุงจำได้ดีว่า รุ่งขึ้นจากวันนั้นลุงได้ไปโรงเรียน เลิกเรียนประมาณบ่าย ๓ โมงกลับบ้านพอเข้าบ้านก็เห็นคนวิ่งวุ่นวายอยู่ภายในบ้าน เห็นคุณแม่ร้องไห้โฮเสียใจจนไม่ได้สติ พวกคนใช้ในบ้านต่างร้องไห้หูตาบวมไปตามๆ กัน ลุงจึงเข้าไปถามคนใช้ดูว่ามันเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น จึงทำให้คุณแม่และคนใช้เสียใจมากมายถึงเพียงนี้ ได้ทราบว่า พี่ชดช้อยผูกคอตายในห้อง 


เมื่อลุงทราบเรื่องก็ใจหายขึ้นมาทันที ได้รับความตกใจแทบสิ้นสติ น้ำตาร่วงทั้งรักและสงสารพี่สาวคนเดียวของลุง พ่อแม่มีเราพี่น้องสองคนเท่านั้น บัดนี้พี่สาวของลุงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปแล้ว ลุงนึกถึงความผิดของตัวที่เป็นคนมีนิสัยชอบฟ้อง จึงได้เกิดเรื่องใหญ่โตภายในบ้านเช่นนี้ ที่บ้านได้รับความเศร้าใจครั้งใหญ่ 


ต่อมาคุณพ่อกลับจากราชการหัวเมือง เมื่อทราบเรื่องก็มีความเศร้าโคกเสียใจมาก แต่ก็มิได้กล่าวคำติเตียนคุณแม่แต่ประการใด เห็นจะเป็นเพราะเห็นคุณแม่มีความเศร้าโศกมากแล้ว คุณพ่อคงจะไม่ยอมรื้อฟื้นเรื่องที่ผ่านไปให้กระเทือนใจอีก ในบ้านเรารู้สึกเงียบเหงาลงมาก คุณพ่อพูดน้อย คุณแม่ไม่ค่อยเข้าหน้าคุณพ่ออยู่แต่ในห้อง 


ลุงรู้สึกบ้านเปลี่ยนแปลงไปมาก ลุงก็หาความสุขความสบายใจไม่ได้ ต้นเหตุเพราะลุงเป็นผู้ก่อเรื่อง จึงต้องคิดเสมอว่าลุงเป็นผู้ทำลายความสุขในครอบครัวของเรา ทำลายชีวิตพี่สาว ทำลายอนาคตของทิดมหา ซึ่งต่อมาก็เป็นคนเสียจริต เดินบ่นพร่ำไปตามถนน เสื้อผ้าสกปรก เที่ยวคุ้ยเขี่ยเศษอาหารตามกองขยะมูลฝอย เป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก แม้ลุงจะไม่พยายามคิด แต่มันก็อดไม่ได้และหัวใจไม่ได้ เหมือนความผิดมันติดอยู่กับความรู้สึก 


จวนกำหนดครบร้อยวัน นับแต่พี่สาวลุงตาย เช้าวันนั้นคุณพ่อตื่นขึ้นล้างหน้า แล้วมานั่งสูบบุหรี่อยู่พักใหญ่ที่ห้องรับแขก รู้สึกจะใช้เวลาตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็เรียกคุณแม่และลุงเข้าไปหา แล้วคุณพ่อก็พูดขึ้นด้วยเสียงปกติว่า 


“เมื่อตอนก่อนรุ่งสว่าง พ่อฉันเห็นชดช้อยเดินเข้ามา หน้าตาก็เศร้าหมองมาก เสื้อผ้าก็ขาดวิ่น ตรงเข้ามาซบหน้าลงร้องไห้อยู่ข้างตัว” ทำให้พ่อนึกสงสารมากจึงถามว่า 


“มีเรื่องอะไร หนูจึงร้องไห้ บอกพ่อซิลูก” พ่อเห็นแกยิ่งสะอึกสะอื้นหนักขึ้น แล้วก็ปล่อยโฮเลย พ่อเองก็พลอยน้ำตาไหลด้วย ใจแข็งถามไปว่า “ลูกจะให้พ่อช่วยอะไรบอกมาเถิดลูก” 


เสียงพูดทั้งน้ำตาว่า “หนูผิดไปแล้วละค่ะ คุณพ่อขาหนูฆ่าตัวตายเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีแต่ความน้อยใจมีความโกรธ ไม่มีความคิด มีแต่ความเสียใจ อยากจะตายให้พ้นโลกมนุษย์ เพราะหนีไม่ได้รับความเป็นธรรม ครั้นเมื่อตายแล้วก็ต้องมารับกรรมลำบากไม่มีกำหนดไม่มีเวลาที่จะพ้นจากความลำบาก คุณพ่อช่วยหนูหน่อยชิคะ หนูยังมีเวรมากต้องรับกรรมอีกนาน ขอให้คุณพ่อช่วยหนูเพียงแต่ให้สบายขึ้นกว่านี้ก็พอแล้วค่ะ หนูจะต้องรับทุกข์ทนไปกว่าจะสิ้นเวร” 


คุณพ่อเล่าให้ลุงและคุณแม่ฟัง ความจริงคุณพ่อก็ตั้งใจจะเล่าให้ลุงฟัง เพื่อคล้ายจะให้รู้ว่า การฆ่าตัวตายนั้นมันเป็นกรรมหนักมากจำเอาไว้ แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ก็ปรึกษากันว่าจะทำอะไรดี จะสร้างพระหรือเลี้ยงพระสวดมนต์ หรือจะสร้างศาลาท่าน้ำ สร้างกุฏิสงฆ์ และคุณแม่ก็เสนอว่าควรจะทำกงเต๊ก นิมนต์พระจีนพระญวนมาเผากระดาษเป็นบ้าน รูปรถ รูปเรือ ที่สุดก็ทำทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นสิ่งดี ใครจะแนะนำอะไรก็ทำทุกอย่างคุณพ่อคุณแม่ไม่เสียดายเงินทอง มุ่งหวังจะให้วิญญาณลูกสาวมีความสุขเท่านั้น จะได้รับส่วนบุญหรือเปล่าไม่มีใครรู้ เป็นสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ ยังไม่สามารถจะคลี่คลายได้ 


คนเรามีความสุขคล้ายๆ กัน เวลามีชีวิตอยู่ไม่ตามใจ เมื่อตายแล้วจึงตามใจ คิดดูก็น่าขำ ต่อมามีพระสงฆ์ท่านมาบอกว่า การจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ก็ขอให้ทำสังฆทานอุทิศ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ทำสังฆทานแผ่ส่วนกุศลไปให้พี่ชดช้อย ไม่รู้ว่าใครจะว่าสิ่งใดดีก็พยายามทำทุกสิ่ง ต่อมาภายหลังคุณพ่อก็ครบเกษียณอายุออกจากราชการ รับเบี้ยบำนาญไม่นานก็ถึงแก่กรรมลง แล้วลุงก็เติบโตมาในความดูแลของคุณ แม่ 


เมื่อลุงแช่มเล่าจบลงเพียงนี้ พวกเราต่างก็ลุกขึ้นบิดตัวซ้ายขวา แก้เมื่อยที่ได้นั่งฟังเรื่องแปลกประหลาดมาตลอดรุ่ง โดยไม่มีใครง่วงนอน เห็นจะเป็นเพราะกาแฟดำที่พวกเจ้าภาพได้ชงมาให้เราดื่มตลอดคืน จึงได้อยู่ทนฟังเรื่องจนจบ ส่วนผู้อื่นทั้งหญิงชายต่างก็หลับกันอย่างสงบเงียบ


ส่วนในเรือยนต์องค์กฐินกำลังแล่นทวนน้ำฝ่าแพสวะผักตบชวา ที่ลอยเกลื่อนลำน้ำทั้งแพใหญ่น้อยในยามเงียบสงัด เดือนกำลังจะตก ลมพัดโชยรู้สึกหนาวก่อนยามรุ่งอรุณ เสียงไก่ตีปีกขูคอขันกันอย่างเซ็งแซสองข้างฝั่งริมน้ำเจ้าพระยา ได้ยินเสียงตำน้ำพริกขูดมะพร้าวมาจากบ้านเรือนแพสองฝั่งริมน้ำที่เรือแล่นผ่านไป ผู้คนชาวบ้านตื่นขึ้นหุงต้มอาหารประกอบกิจประจำวันเพื่อเลี้ยงชีวิต


ตามวันคืนหมุนเวียนเปลี่ยนไปวันแล้ววันเล่าไม่มีที่สิ้นสุด สังขารร่างกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาธรรมชาติ จากทารกมาเป็นวัยรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคน เป็นวัยชรา จนกว่าจะจบชีวิตลงนึกถึงสัจธรรม ยิ่งพิจารณาก็ยิ่งเห็นความทุกข์ที่มนุษย์หนีไม่พ้น ด้วยเหตุผลที่เห็นได้อย่างชัดเจนไม่มีข้อสงสัย นึกภูมิใจที่เราเกิดมาในร่มโพธิของพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่อพ้นจากทุกข์ด้วยความสุขสงบ


เมื่อคิดแล้วก็มองดูเห็นแสงเงินแสงทองกำลังจับขอบฟ้า เป็นเวลารุ่งอรุณฟ้าสาง พระอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า อากาศรู้สึกเยือกเย็น เสียงแตรวงในเรือ บอกว่าเริ่มบรรเลงขึ้นในท่ามกลางของความเงียบ มีหลายคนได้ยินแตรรีบตื่นลุกขึ้นมา มองดูทางกราบเรือบอกว่าจะถึงวัดแล้ว เรามองดูริมฝั่งทางซ้ายมือหน้าวัดเห็นมีโคมไฟสว่างไสว มีผู้คนชายหญิงจำนวนมากพากันมารออยู่ที่หน้าศาลาน้ำท่าวัด พอเทียบเรือเข้าท่าน้ำ ก็พอดีสว่างเป็นเวลาย่ำรุ่ง ไก่วัดขันรับไม่รู้สุดสิ้น


พวกเราพากันขึ้นไปบนศาลาวัด ยืดแข้งยืดขาที่ต้องทนนั่งมาในเรือเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยมิได้หลับเลย เช้าวันนั้นทางชาวบ้านจัดอาหารเข้าไว้รับรองบนศาลา และจัดให้พวกเรามีการใส่บาตรเช้าและเลี้ยงอาหารมากมาย เมื่อเสร็จก็รีบลงมือทอดกฐินจนเป็นที่เรียบร้อยสมบูรณ์ เราจึงกลับพระนครโดยการนอนหลับมาในเรือตลอดทาง ถึงสะพานพุทธฯ เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านเป็นอันเสร็จสิ้นการทอดกฐิน


หลังจากงานทอดกฐินครั้งนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลาแรมปี วันหนึ่งข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือพิมพ์ พบข่าวการมรณกรรมของลุงแช่ม ทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจมาก สงสารในชีวิตอาภัพของแก และเคารพในความซื่อตรงต่อความสัตย์สาบานของแก ข้าพเจ้าจึงตั้งใจว่าจะไปเคารพศพ เพื่อบูชาความดี และระลึกถึงเรื่องที่แกเล่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอัศจรรย์ จึงติดต่อนัดกับเพื่อนผู้เป็นญาติของลุงแช่ม และเพื่อนๆ ที่ร่วมไปในงานกฐินครั้งนั้น


ในคืนวันนั้นเราได้มีโอกาสเข้าไปในบ้านใหญ่โตโอโถงของลุงแช่ม และตรงเข้าในห้องตั้งศพที่จัดไว้อย่างงดงาม มีที่บูชาก่อนที่พระสงฆ์จะมาสวดอภิธรรม ข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบศพ ซึ่งบรรจุอยู่ในหีบศพลายทองตั้งไว้ในที่สูง ประดับด้วยดอกไม้สดและพวงหรีดมากมาย เพราะลุงแช่มมีผู้เคารพนับถือมาก แล้วข้าพเจ้ามานั่งสนทนาไต่ถามถึงอาการป่วยและเวลาจิตดับจากหญิงชราซึ่งเป็นคุณน้าของลุงแช่ม ก็ได้ให้การต้อนรับอย่างดีและให้ความรู้แปลกๆ หลายอย่างว่า


การป่วยของลุงแช่มครั้งนี้ ความรู้สึกว่าลุงแช่มแกไม่สนใจในการรักษาพยาบาลเลย เมื่อคุณน้าไปหาหมอ ลุงแช่มก็ยังทักท้วงว่าคนเรารู้ตัวว่าจะถึงเวลาแล้ว จะหาหมอรักษาพยาบาลก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร อย่าถ่วงเวลาให้ช้านานเลย เมื่อถึงเวลาก็ปล่อยให้เป็นไปตามกำหนดดีกว่า คุณน้าฟังดูแล้วก็รู้สึกสังหรณ์ใจ แต่ก็ได้หาหมอมาพยาบาลรักษา แต่ลุงแช่มแกก็ไม่ว่าอะไรคงจะเกรงใจ เพราะเห็นความหวังดีของคุณน้า


ต่อมาอาการป่วยของลุงแช่มก็เพียบหนักลงทุกวัน ลุงแช่มรู้ตัวดี รู้เวลาที่จะจากโลกนี้ไป แต่แกก็ไม่รู้สึกเดือดร้อนในการเจ็บป่วยครั้งนี้เลย สุดท้ายสิ่งที่ลุงแช่มขอร้องให้คุณน้าช่วยก็คือ อยากฟังเพลง “เจริญศรี” ตับพระลอ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต คุณน้าต้องไปเที่ยวหามาจัดให้ฟังตามความประสงค์ของหลานชาย รู้สึกว่าทำให้จิตใจของลุงแช่มสงบดียิ่งขึ้น ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความสนใจ คล้ายว่าเพลงนั้นจะนำวิญญาณไปสู่ความสุขในดินแดนอันลี้ลับมหัศจรรย์ คุณน้าเล่าว่าวาระสุดท้ายของลุงแช่มกำลังจากโลกนี้ไปว่ายังจำได้ติดหูติดตา


เมื่อลุงแช่มได้ยินเสียงเพลงตอนชมความงามของพระเพื่อนพระแพงแล้วก็น้ำตาไหล เห็นจะนึกถึงความหลังครั้งสุดท้ายในชีวิต แต่ใบหน้าปกติก็ได้แสดงความเจ็บปวดของสังขารร่างกายที่กำลังจะแตกดับ ฝ่ามือทั้งสองออกคล้ายจะโอบกอดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในอากาศ ปากก็พูดเบาๆ ว่า “บัวแก้ว บัวคำ น้องมารับพี่หรือ ดีใจเหลือเกินที่เราจะไปอยู่ด้วยกัน” ลุงแช่มมีท่าทางดีอกดีใจผิดกว่าคนป่วยทั่วไป ยิ้มแย้มด้วยท่าทางเป็นผู้มีความสุขที่สุด แล้วก็หมดลมไปด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ เรื่องของลุงแช่มก็สิ้นสุดลง ซึ่งยังความประหลาดใจแก่ผู้ที่ได้รู้ได้ทราบข่าวนี้ทั่วไป



ที่มา จากหนังสือกฏแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๖ โดย ท.เลียงพิบูลย์ 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น